วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บริษัท (เรา) จำกัด





พระอาจารย์  บอกแล้วว่า "สติ" เป็นแค่ยาม ... ยามทำหน้าที่อะไร แล้วตอนนี้สติของโยมเป็นยามรึเปล่า

โยม  ไม่ใช่ค่ะ เหมือนมีความอยากที่จะควบคุมให้...ไม่เป็นทุกข์

พระอาจารย์  จะไปเป็นผู้จัดการสิ ...เปลี่ยนตำแหน่งจากยามเป็นผู้จัดการ แล้วก็จะไปเป็นเจ้าของบริษัทรึเปล่า..ใช่ป่าว

โยม  ใช่ ..จะควบคุมเจ้าค่ะ

พระอาจารย์  เออ นั่นแหละ แล้วใครบอกว่าบริษัทนี้เป็นของโยม

โยม  มันโกรธแล้วมันเป็นทุกข์เจ้าค่ะ

พระอาจารย์  ใครบอกว่ามันเป็นของโยม ทึกทักเอารึเปล่า ... ทึกทักเอาเองว่ามันเป็นของโยมเหรอ

กายนี้มันบอกมั้ยว่ามันเป็นของโยม จิตนี้มันบอกมั้ยว่ามันเป็นของโยม ...แต่โยมพยายามจะเข้าไปเทคโอเวอร์อยู่เรื่อย โดยเข้าใจว่าบริษัทนี้ไม่ดีเลย ไม่ได้ดั่งใจกูเลย

สติที่ถูกต้องน่ะ บอกแล้วว่าทำหน้าที่เป็นยาม...รู้ยังไง มีแต่รู้...ครับผมๆๆ ...ผ่าน ครับผม...ผ่าน รู้เฉยๆ ...ใครเข้าก็ได้ใครออกก็ได้ครับ ผมมีหน้าที่...ยืนเป็นยามเฝ้าดูอย่างเดียวครับ

คุณจะเข้าไปทำอะไรกับบริษัทคุณไปทำ คุณจะไปทำให้ดีกับบริษัทก็ทำ ...ผมมีหน้าที่รู้เฉยๆ ครับ ผมอยู่หน้าประตูเป็นยามครับ …เข้าใจคำว่า สติมั้ย ทีนี้ ...แล้วมันจึงจะเห็นว่าบริษัทนี้ไม่ใช่ของกู

แต่เราพยายามจะยกระดับตัวเองอยู่เรื่อย ...จะมาเป็นซีอีโอรึไง

เพราะนั้นก็ต้องหยุด...หยุดเป้าหมาย หยุดการจะเป็นคนดี หยุดเข้าไปให้ความหมายของคำว่าดีหรือไม่ดี ถ้าเรามีความหมายว่าดีเมื่อไหร่ คนเขาพูดว่าดีก็ดี ถ้าเรามีความหมายว่าดีเมื่อไหร่ คนเขาว่าไม่ดี เราก็ไม่ดี ...ทุกข์มันอยู่แค่นั้นแหละ

โยม  หยุดตั้งเป้าหมาย...

พระอาจารย์  ที่จะเป็นคนดี ที่จะให้จิตดี ...บอกแล้วว่าติดก็รู้ติด มีก็รู้ว่ามี มากก็รู้ว่ามาก น้อยก็รู้ว่าน้อย ไม่มีอะไรก็รู้ว่าไม่มีอะไร

โยม  มันติดเหมือนเหนียวแน่นเลยเจ้าค่ะ เหมือนทำให้เราเป็นทุกข์...เพราะว่าตัวที่เราอยากมีลักษณะดูดี ...เป็นคนดี ทำให้เราทุกข์เจ้าค่ะ แต่ว่าบางทีก็รู้ บางทีก็ไม่รู้ แล้วก็กลับมาเป็นสันดานเดิมอีกนี่ เจ้าค่ะ  เพราะว่าปกติเราก็..โลโก้ของเราคือ สวดมนต์ไหว้พระ อยากทำดีทำดี ...พอเราเกิดเหตุการณ์ซึ่งร้ายแรงนี่

พระอาจารย์  อยากมีภาพของนักปฏิบัติที่ดี

โยม  ค่ะ ...แล้วเสร็จแล้วพอมีคนตำหนิน่ะ มันเหมือนผิดหวังมากเจ้าค่ะ ผิดหวังมากเลย

พระอาจารย์ – เสีย self เสียความเป็นนักปฏิบัติหมด

โยม  (หัวเราะ) ใช่เจ้าค่ะ

พระอาจารย์  เสมือนเขาตี...เขาก็ตีถูกขนดหางน่ะ ตีถูกจุดอ่อน ที่เราตั้งค่าไว้ แค่นั้นเอง

ไอ้ค่านั่นคือภพของนักปฏิบัติ ตัวตนที่ดีกว่าตัวตนของความเป็นจริง ... แล้วมันก็พยายามหนีตัวตนของความเป็นจริง เหมือนกับคว้าเงาน่ะ จับเท่าไหร่ก็ไม่เจอสักที ๆ ...ก็เงาอ่ะ

แต่ตัวจริงนี่หนีตลอด เหมือนกับเราวิ่งไล่เหยียบเงา ไม่เห็นมันตายสักที หรือว่าคว้าจะเอามาเป็นสมบัติของตัวเอง ก็ไม่เคยได้สักที ...ปัญหาคือไอ้ตัวของเรานั่นแหละ

ต้องรู้อยู่ตรงนั้นแหละ อะไรเกิดขึ้นก็รู้อยู่ตรงนั้น มันจะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่เอาดีเอาชั่วมาเป็นตัวตัดสิน ไม่เอาถูกเอาผิดมาเป็นตัวตัดสิน ...เอาเป็นว่ามันปรากฏขึ้นตามความเป็นจริง เป็นปรากฏการณ์หนึ่งของจิต เป็นอาการหนึ่งของจิต

โยม  มันรู้สึกไม่ค่อยสบายตลอดฮ่ะ จิตไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ

พระอาจารย์   ก็รู้ว่าไม่สบาย ...แล้วก็รู้เข้าไปว่าเหตุของทุกข์จริงๆ มันอยู่ตรงไหน ...ดูเข้าไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะเห็นว่า เพราะเราอยากดี

ดูไปดูมาแล้วมันจะเห็นเองแหละ ...เพราะความอยากกับความไม่อยาก..สองตัว ... แต่เราไม่เคยเห็น

โยม (อีกคน)   ก็พอเอามาเปรียบเทียบกับทางโลกแล้วก็ใช่เลย ไอ้ความที่เราอยากๆ ...อยากที่จะให้คนอื่นยอมรับเราน่ะ     

พระอาจารย์ –  อยากดีอยากเด่น 

โยม (อีกคน)   เพียงแค่เรายอมรับว่า เฮ้ย ก็ชั้นพอใจแค่ชั้นได้ทำหน้าที่ชั้น ชั้นก็น่าจะพอแล้วล่ะ ...มันไม่พอไงเจ้าคะ มันก็เลยอยากเป็นผู้จัดการ อยากเป็นซีอีโอ

พระอาจารย์   ก็บอกแล้วไงบริษัทนี้ เขาไม่เคยบอกว่าเป็นของเรา ...บริษัทกายจำกัด บริษัทจิตจำกัด เขาเป็นมหาชน เขาเป็นของมหาชน ...โยมก็เป็นผู้ถือหุ้นแค่หนึ่งหุ้น แค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่ของเรา 

เขาเป็นของสาธารณะ ของกลางน่ะ ...ก็ทำไม บทเขาจะล้มละลายขึ้นมานี่ เอาไม่อยู่หรอก ตายหมดไม่เหลือ ควบคุมไม่ได้ ...แค่หุ้นเดียวไปทำอะไรได้
พระพุทธเจ้าก็ให้มาเห็นตรงเนี้ย แล้วก็ยอมรับความเป็นจริงอันนี้ให้ได้ ...ไม่ได้ก็ต้องได้  

ดูเข้าไปจนกว่าจะยอมรับความจริงนี้ว่า มันไม่ใช่เรื่องของเราเลย ...แล้ว "เรา" ก็จะหมดความหมายไปเอง  เพราะไม่ใช่ "เรา" เข้าไปจัดการได้ ...มันเป็นของกลาง 

เกิดมานี่ กว่าจะมารู้ว่าเป็นผู้หญิงนี่กี่ขวบ  พอรู้แล้ว.. เลือกได้มั้ย เปลี่ยนได้มั้ย ...แล้วยังมาบอกว่าของเราได้ไง กำหนดเพศตัวเองยังไม่ได้เลย ...นอกจากไม่ได้แล้วต้องอยู่กับมัน...จนกว่าบริษัทนี้ล้มละลายอ่ะ 

แล้วมาบอกว่าเป็นเจ้าของได้ยังไง  หน้าตาก็เป็นยังงี้ ผิวพรรณก็เป็นยังงี้   จะพอใจก็ตาม ไม่พอใจก็ตาม เปลี่ยนไม่ได้อ่ะ ...แล้วบอกเป็นของเรายังไง จะไปเป็นผู้จัดการอะไรกับมันล่ะ


โยม   เป็นผู้จัดการ เป็นเจ้าของบริษัท เป็นเยอะด้วยเจ้าค่ะ (หัวเราะ)

พระอาจารย์   เออ นั่นแหละคือปัญหาของคนทั้งโลกน่ะ ...เพราะความเข้าใจผิด หรือว่ามิจฉาทิฏฐิ หรือความหลง เข้าใจมั้ย 

หลงเอาสิ่งที่ไม่เป็นของเรามาเป็นของเราน่ะ แล้วก็เอาของไม่ใช่ของเรานี่ไปทำเรื่องราวมากมายก่ายกอง พัวพันไปหมด วุ่นวี่วุ่นวาย แล้วก็ไปดึงเอาปัญหาต่างๆ นานา มาทับถม ...ก็เป็นเรื่องของเราไปหมด

หยุด...อยู่ในที่อันเดียว ที่รู้น่ะ ...หยุดอยู่ที่รู้นั่นแหละ  เข้าใจมั้ย  มันถึงจะหยุดได้  อะไรเกิดขึ้น...รู้ นี่มันหยุดแล้ว ...มีอะไรก็รู้ ๆ  รู้โง่ๆ 

ไม่ได้รู้อะไรหรอก รู้ในสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า นั่นแหละ รู้ไปเหอะ รู้โง่ๆ ...ไม่ต้องรู้เกินนี้หรอก

มันไม่ดีก็รู้ว่า เออ มันไม่ดี ไม่ต้องไปคิดต่อว่า ..จะดียังไงวะ อย่างเนี้ย ไอ้นี่รู้เกิน รู้เกินจริง เข้าใจมั้ย เข้าใจคำว่าเกินจริงมั้ย


โยม   เกินจริง

พระอาจารย์   เกินจริงในปัจจุบัน ...ถ้าออกนอกปัจจุบันเมื่อไหร่นี่ สับสนวุ่นวาย ลังเลสงสัย  ไม่รู้จักพอ ได้คืบเอาศอก ได้ศอกเอาวา ได้วาเอาโยชน์ ได้โยชน์เอาไม่รู้จักประมาณน่ะ 

ถ้าออกนอกรู้นี้ ปัจจุบันตรงนี้ มันไม่มีคำว่าหยุดหรอก ...ต้องตัดอกตัดใจ เด็ดเดี่ยวอยู่ในปัจจุบัน ตายเป็นตาย เข้าใจมั้ย มันจะแย่จะตายกับอารมณ์ตรงนี้ก็อยู่กับมัน

พระพุทธเจ้าบอกว่าทุกข์ให้กำหนดรู้น่ะ ท่านไม่ได้บอกให้แก้ ท่านไม่ได้บอกให้หนี ท่านไม่เคยบอกเลยนะว่าให้ดับทุกข์ ...ท่านบอกให้รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง

ไอ้ที่ให้ดับน่ะไม่ยอมดับ... ตัณหา อุปาทาน เนี่ย ไม่ดับ...ความอยากกับความไม่อยาก 




คัดลอกโดยทำการตัดทอนมาจัดเรียงใหม่จาก
"คำสอน พระอาจารย์" แผ่น 2 แทร็ก 2/11
อ่านคำสอนฉบับเต็มได้ที่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น