วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

"หลัก"



"หลัก"


พระอาจารย์   ธรรมก็เหมือนกัน ก็ทำอีกๆ ทำแล้วทำอีกๆ ย้ำอยู่ตรงจุดเดิมนี่ ไม่เปลี่ยนที่  

แต่มันต้องทำด้วยความชำนาญอยู่ตรงที่เดิม รู้เห็นอยู่ที่เดิม ปัจจุบันเดิม ...แม้กายมันจะเปลี่ยนหน้าค่าตาไปยังไงก็ช่างมัน ขอให้เป็นปัจจุบันความรู้สึกนั้น

สร้างฐานของจิตให้อยู่ในปัจจุบันมากๆ โดยอาศัยกายนี่เป็นที่ตั้งของธาตุธรรมปัจจุบัน ...เมื่อจิตมาตั้งรู้ตั้งเห็นอยู่กับกาย ก็แปลว่าจิตนั้นอยู่ในปัจจุบัน

ต้องบ่มจิตปัจจุบันนี้มากๆ เพราะโดยปกติของปุถุวิสัย ปุถุชนนี่...เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์น่ะ มันออกนอกปัจจุบัน...ตลอด

เพราะนั้นต้องรักษาจิตปัจจุบันนี้ไว้ โดยอาศัยกายนี่เป็นบาทฐาน...ที่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความมีอยู่ เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ตรงนี้เริ่มเรียกว่าครบถ้วนแล้ว ตั้งแต่สติศีลสมาธิ แม้ยังไม่ครบองค์ประกอบของไตรสิกขาคือปัญญา...ก็บ่มตรงนี้ก่อนมากๆ

เมื่อใด ช่วงใด เวลาใดที่จิตมันอยู่ตัวได้ดี อย่างไม่ต้องควบคุมบังคับ ไม่ต้องระแวดระวัง ไม่ต้องระมัดระวัง...เรียกว่ามันอยู่ตัว มันคงตัว เรียกว่าสมาธินี่ได้ที่ได้ฐานระดับหนึ่ง

นี่จึงค่อยน้อมเข้าหาปัญญา ด้วยความสังเกตสังกาใคร่ครวญในธรรม ตั้งปรัศนีขึ้นในหัวจิตหัวใจว่ามันเป็นเราตรงไหน...แล้วดู  มันเป็นของเราตรงไหน...แล้วดู

เมื่อแน่วแน่ในธรรมดี แนบแน่นกับธรรมดี แล้วก็พิจารณาใหม่ ...ลักษณะอาการนี้เรียกว่าด้วยอนุโลมและปฏิโลม ค่อยๆ เป็นไป ...นี่คือลักษณะวิถีของปัญญาวิมุติ

พวกเรานี่อยู่ในเกณฑ์สันดานต้องเป็นปัญญาวิมุติ ...จะไปตามครูบาอาจารย์ที่สายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นเป็นต้นแบบลูกศิษย์นี่ไม่ได้ ...จะตามนั้นไม่ได้

เราจะต้องอาศัยสมาธิปัญญาอย่างเป็นช่วงเป็นห้วงไปอย่างนี้...ที่จะพอเข้าไปลิดรอนอำนาจของความถือครองว่าเป็นเราของเรา...ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เป็นไป

แต่อาศัยการประกอบกระทำอย่างเนืองๆ ขยัน ...ไม่ทิ้งช่วง ไม่ขาดหายไปนาน นับเป็นชั่วโมง นับเป็นหลายๆ นาที ...อย่างนี้เรียกว่าประมาทแล้ว

เพราะนั้นก็ให้มันบ่อยๆ ...เผลอ หาย ลืม...เอาใหม่ๆ ...แล้วก็ต้องตั้งกลับมาที่เดิม คือกองกาย กองธาตุ กองเวทนา

อย่าไปตั้งสะเปะสะปะ ว่าไปรู้ตรงนั้นก็ได้ ไปเห็นตรงนี้ก็ได้ แบบคนนั้นแบบคนนี้เขาก็ทำกัน ...อย่าเอากิเลสคน อย่าเอาสันดานคน อย่าเอาการดำรงการดำเนินของคนนี่มาเป็นแม่แบบ

เอาธรรมเป็นแม่แบบ เอาพุทธะเป็นแม่แบบ เอาพระอริยสงฆ์ซึ่งหาได้ยากนี่เป็นแม่แบบจึงจะไว้เนื้อเชื่อใจได้ว่าไม่ถูกกิเลสต้มและตุ๋น

ทำยังไงธรรมนี่จึงจะเงยตาอ้าปากขึ้นมา ...ก็สติล้วนๆ การระลึกรู้ล้วนๆ  ซ้ำๆๆๆ ...หายลืมเอาใหม่ๆ กายมันก็มีอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องไปลงทุนลงแรงค้นหาอะไรหรอก ...มันก็อยู่ตรงนั้นน่ะ

ถามตัวเองกำลังทำอะไร...ก็เจอแล้ว  กายกำลังอยู่ในท่าไหน...ก็เจอแล้ว  กำลังอยู่ในอิริยาบถใหญ่ใด...ก็เจอแล้ว  กำลังอยู่ในอิริยาบถย่อยใด...ก็เห็นแล้ว

ให้ศีลน่ะเป็นปัจจุบัน ให้สติน่ะเป็นปัจจุบัน ให้สมาธิน่ะเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

นี่แหละ ที่พูดมาทั้งหมดนี่แหละคือหลักปฏิบัติ ...ไม่ใช่อุบายปฏิบัติ แต่คือหลักปฏิบัติ

และเป็นหลักเดียวที่จะเอาตัวรอดจากกิเลสได้ เอาตัวรอดจากความยึดมั่นถือมั่น โดยเราของเรา โดยเขาของเขาได้ ถ้าไม่โดยหลักนี้...ไม่มีทาง

หลักศีลสมาธิปัญญา หลักมรรคมีองค์แปด หลักปัจจุบันธาตุ ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันรู้ ...หลักนี้หลักเดียวเท่านั้น...ทั้งหมดสงเคราะห์ลงที่นี้หมดเลย

ธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ อุบายธรรมทั้งหลายทั้งปวง ต้องสงเคราะห์ลงที่นี้ทั้งหมด ...เรียกว่ารอยเท้าเล็กลงที่รอยเท้าใหญ่ รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จบลงที่รอยเท้าช้าง

มันต้องลงที่นี่หมดเลย จึงจะต่อกรเป็นคู่ต่อสู้กับอวิชชาตัณหาอุปาทาน...ที่เราสั่งสมพอกพูนกำลังให้มัน สนับสนุนค้ำจุนมันมาอเนกภพอเนกชาติ ...พละกำลังของมันมากมายมหาศาลจริงๆ

แล้วลองประเมินกำลังศีลสมาธิปัญญาเราดูมั้ยล่ะ ...อย่างเวลาโกรธเวลาเกลียดใคร เวลาเกิดอารมณ์กับใคร แล้วเราลองนึกว่า...ให้กลับมารู้ว่ากายกำลังอยู่ตรงนั้น

กายกำลังยืน กายกำลังเดิน กายกำลังแข็ง กายกำลังตึง ...ดึงกลับได้มั้ย ยินยอมที่จะกลับมาอยู่กับกายตรงนั้นได้มั้ย  หรือว่าหากายตรงนั้นเจอมั้ย ท่ามกลางความแผดเผาเร่าร้อน

เห็นพลานุภาพของกิเลสมั้ย เห็นพลานุภาพของอารมณ์มั้ย เห็นพลานุภาพของอุปาทาน เห็นพลานุภาพความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เราของเรามั้ย

นี่ มันแรงกว่า เหนือกว่าศีลสมาธิปัญญา กายใจปัจจุบัน หลายขุม หลายช่วงตัวนะ

ถึงเอาได้ กลับมาอยู่...แต่ก็เอาไม่รอด เอาไม่ตลอดรอดฝั่ง ...สุดท้ายก็ต้องไปตายแช่อยู่กับอารมณ์ ทำตามอารมณ์ พูดตามอารมณ์

หรือเข้าไปดำดินบินวนอยู่ในอารมณ์นั้น จนกว่าอารมณ์นั้นจะสร่างซาของมันไป...โดยที่ไม่มีศีลสมาธิปัญญากล่าวอ้างกล่าวถึงในจิตดวงนั้นเลย

เห็นมั้ย ความต่ำใต้กิเลส ความต่ำใต้ขันธ์ ความต่ำใต้อารมณ์ ความต่ำใต้ความปรารถนาของเราของเขานี่ มากมายมหาศาล

เรียกว่ายังไม่ใช่คู่ต่อกร ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย...ที่จะไปลบความเป็นเรา ความเป็นของเรา ที่เขาพูดว่าละกันได้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปากน่ะ เป็นคำโกหก ...ไปประเมินกำลังดูจะรู้เลย

ลองดู อยากรู้ว่ากิเลสเราประมาณไหน กี่โล กี่ขีด กี่ตันนี่ เวลาเดินจงกรมนั่งสมาธิซักหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง ...แล้วจะรู้เลยว่า จิตนี่เดือดเนื้อร้อนใจกับกายนี้มั้ย ว้าวุ่นสับสนกับกายนี้มั้ย

ในจิต ในดวงจิตของเราตรงนั้นจะมีแต่ความคร่ำครวญหวนไห้ สับสนวุ่นวาย  ชุลมุนชุลเกไปหมดน่ะ ความยึดมั่นถือมั่นในเราในกายยังเต็มหัวจิตหัวใจอยู่เลยน่ะ

นี่มันแสดงอะไร...แสดงว่ากายนี้ยังเป็นเราของเราอยู่เต็มๆ ...ยังห่างชั้นนักห่างชั้นหนาว่ากายนี้ไม่ใช่เราของเรา

นี่ ตรงต่อธรรมนะ ไม่โกหกตัวเองนะ ...การปฏิบัติธรรมไม่โกหกตัวเอง ไม่โกหกคนอื่นนะ มันเป็นอะไรที่รู้ได้ เห็นกับตัวเองเลยว่ายังติดก็คือต้องติด...ต้องรู้ ยังยึดก็ต้องรู้ว่ายังยึด

ยังออกไม่ได้ก็ต้องรู้ว่ายังออกไม่ได้ ยังหาวิธีออกจากมันไม่ได้...ก็รู้ว่าหาวิธีออกจากมันไม่ได้ รู้ว่ากำลังหาวิธีการออก รู้ว่าเข้าหาวิธีการออกที่ถูก ...ก็ต้องรู้ด้วยตัวเองหมดเลย

อย่าไปฟังคำคนอื่น อย่าไปปฏิบัติธรรมตามกระแส ตามเทรนด์ ...ไม่ใช่ลัทธินี่ อย่ามาอ้างคนนั้นพูดคนนี้บอก

สวากขตธรรมนี่คือธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านคัดแล้ว สรรแล้ว ตรัสดีแล้ว...นี่ อันนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์  ศีลสมาธิปัญญานี่ตายตัวเลย

ถ้าปฏิบัติ...ถามดูตรงนั้น มองหาดูตรงนั้นว่าอยู่ในแวดวงของศีลมั้ย อยู่ในแวดวงของสมาธิ อยู่ในแวดวงของปัญญารึเปล่า ...ถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงของศีล...จบ ผิดทันที บอกให้เลย

เรายืนยันอยู่ที่เดียวน่ะ ถ้าไม่มีกายอยู่ตรงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นเครื่องรู้เครื่องเห็น...นี่ ผิดธรรม ผิดศีล ออกนอกมรรค ออกนอกความเป็นจริง ออกนอกปัจจุบัน...เป็นอันว่าผิดหมด


เพราะฉะนั้น จะปฏิบัติตามๆ กันไปมา หรือจะปฏิบัติตามหาธรรม ตามศีลสมาธิปัญญาล่ะ



คำสอน "พระอาจารย์"

 วันที่  6 พ.ค. 2560

บล็อก...คำสอน (นอกแผ่น)





(หมายเหตุ  :  ขอบพระคุณภาพประกอบที่นำมาปรับแต่งให้เหมาะแก่ข้อธรรมนี้ด้วยค่ะ
Thank for image "oceans_wallpapers_410" )