วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เฉลยข้อ ก.กาย

ขอบพระคุณภาพ :  วัดพระสี่อิริยาบถ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
Thanks for image  :  Wat Phra Si Iriyabote (Kamphaengphet)





พระอาจารย์ –  เพราะนั้นถ้าเพียรเพ่งลงที่กาย รู้เห็นแต่จำเพาะกายจริงๆ นี่ มันจะเห็นขันธ์ห้าเกิดดับ และก็จะเห็นว่าขันธ์ห้ามันเกิดที่ไหน เกิดจากอะไร ...ขันธ์ห้าเกิดมาจากจิตปรุงแต่ง

แต่ถ้าไปดูขันธ์ห้าเกิดดับ จะไม่เห็นกายตามความเป็นจริง จะไม่รู้จักกายตามความเป็นจริง ซึ่งกายตามความเป็นจริง ใจตามความเป็นจริงนี่ คือแก่น แก่นของขันธ์ห้า

คือมันเป็นตัวอ้างอิงของกิเลส ที่มันจะสร้าง...อาศัยกายใจนี่เป็นตัวอ้างอิงไปสร้างขันธ์ห้า เพราะนั้นถ้าไปดูขันธ์ห้าเกิดดับ มันก็ไม่มีการที่จะถึงที่สุดของขันธ์ห้าเกิดดับ ที่ว่าดับโดยสิ้นเชิง

มันจะดับได้ยังไงโดยสิ้นเชิง เพราะมันยังไม่รู้เลยว่าต้นตอของขันธ์ห้านี่ มันมาจากอะไร มันอ้างอิงอะไรเป็นการสร้างขันธ์ห้าขึ้นมา ...รูปเวทนาสัญญาสังขาร มันอ้างอิงอะไร

มันก็บอกตั้งแต่ต้น ตั้งแต่หัวข้อแรกแล้วว่า “รูป” ...รูปมันอ้างอิงกับอะไร ...มันอ้างอิงจากกาย การดำรงคงอยู่ของกายนี่ มันอ้างกาย

กิเลสมันอ้างกายขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์ สถานะ วรรณะ สัณฐานขึ้นมา พอมีรูปปุ๊บนี่ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ พรึ่บ นี่ขันธ์ห้าเกิดแล้ว...โดยอ้างอิงกายเป็นหลัก

แต่ถ้าไปดูขันธ์ห้าเกิดดับ ดูขันธ์ห้าเกิดดับ แต่ไม่รู้ว่าต้นตอของขันธ์ห้านี่มันมาจากไหน จิตมันก็ยังอาศัยขันธ์ห้านี่เป็นเครื่องมือในการก่อร่างสร้างกิเลส

ความต่อเนื่อง ความสืบเนื่องในขันธ์ห้า ไม่มีคำว่าทุเลาเบาบางลงเลย ...มันต้องมาแก้ที่เหตุ หรือว่าต้นตอของขันธ์ห้า นี่...มันจะหนีพ้นกายใจได้ยังไง

จนกว่ามันจะรู้จริงรู้แจ้งว่ากายคือสักแต่ว่ากาย กายคือสักแต่ว่าการรวมตัวกันของธาตุ กายคือสักแต่ว่าสภาวะธาตุ สภาวะเวทนาที่เป็นเอกภาพเอกธรรม อิสรภาพอิสระธรรม ไม่ได้ขึ้นแก่ใครแล้วนั่นแหละ มันจึงจะเข้าใจ

ทีนี้กิเลสมันจะมาหลอกลวงสร้างกายสร้างรูปมาจากกายที่เป็นเราได้อย่างไร ขันธ์ห้ามันจะเกิดได้อย่างไร นี่ ...ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันตาย ขันธ์ห้าก็ดับก่อนแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของว่าง แล้วนอกจากว่างแล้ว ยังไม่มีขันธ์ห้าในเรา ยังไม่มีเราในขันธ์ห้าอีกด้วยซ้ำ และยิ่งกว่านั้น ท่านยังบอกว่าโลกสามโลกธาตุนี่ว่าง เป็นสุญโญ

เพราะนั้น กายใจที่เดียวนี่จบหมดน่ะ ทำให้มันได้เหอะ ทำให้มันจริงเหอะ ...แล้วก็จริงๆ จังๆ ลงไป เอาแบบว่าเก็บมันทุกเม็ดเลยน่ะ ไม่เอ้อระเหยลอยชาย

แบบภาษาที่เขาว่า อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ...อย่าปล่อยให้กิเลสมันลอยนวล อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว อย่าปล่อยจิต อย่าอยู่แบบเลื่อนๆ ลอยๆ ...เหนื่อยก็ต้องเหนื่อย ยากก็ต้องยาก

เพราะนั้น เมื่อรู้แล้วข้อสอบคืออะไร คำเฉลยข้อสอบคืออะไร ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าต้องตั้งใจกามัน ...แล้วไม่ใช่แค่เข้าใจไปกาครั้งเดียวแล้วก็เลิก กาแล้วต้องคาไว้เลย

ไม่งั้นน่ะมันจะไปติ๊กข้ออื่น ไปเอาเรื่องที่อื่น มาเป็นเรื่อง แล้วมันจะไม่มีคำว่าจบเรื่องเลย ...เพราะนั้นมันต้องค้างคาอยู่ตรงนี้เลย จรด..จรดไว้เลย เอาจิตน่ะมาจรดไว้อยู่ตรงนี้ จรดไว้เลย

เพ่งก็เพ่งล่ะวะ คร่ำเคร่งก็ต้องคร่ำเคร่งล่ะวะ เครียดก็ต้องเครียดล่ะวะ ดีกว่าหลงน่ะ ดีกว่าหายน่ะ เครียดอยู่ในกาย ดีกว่าไปเครียดเรื่องกายคนอื่นน่ะ เอาป่าวล่ะ

ก็ต้องเครียดน่ะ เพราะมันจะออกจากทุกข์ได้นี่ มีช่องเดียวเท่านั้น นี่ มีช่องเดียวเท่านั้น ไม่มีช่องสำรองเลยน่ะ ...ตายตัว มรรคผลนี่ตายตัว ขาดตัวเลย ไม่มี choice ABC

เพราะนั้นการฟังนี่ ที่เราชี้แจงนี่...เหมือนกับเราบอก เราเฉลยข้อสอบให้แล้ว บอกแล้วข้อสอบที่ถูกคือข้อนี้ ...ไม่ผิดหรอก เราไม่ได้โกหกว่าข้อนี้ผิดหรือถูก เราบอกแล้วว่า...ถูกตรงๆ ถูกจริงๆ ถูกกว่าทุกข้อ

แต่ใครจะกาหรือไม่กา...อยู่ที่ตัวคนนั้น หรือว่ารู้แล้วยังไปกาข้ออื่น...ก็ไม่ว่ากัน





คัดลอกโดยตัดทอนและเรียบเรียงจาก

คำสอน "พระอาจารย์" 

(แผ่น 16) แทร็ก 16/28-30 





วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เอ้า ฮึบ..."ลุก"





พระอาจารย์ –  เพราะนั้นกายใจต้องเป็นสิ่งที่ถือไว้อย่างถาวร จะมีกิเลส จะไม่มีกิเลส ก็ไม่ทิ้งกายใจ ...ไม่ใช่ว่าไปตั้งอกตั้งใจรู้ตัวตอนที่เฉพาะมีอารมณ์หรือมีความคิด

ไม่มีกิเลส รู้สึกว่าไม่มีกิเลสเลย ไม่มีอารมณ์เลย  ก็ยังต้องถือกายใจไว้ ไม่วาง ...อย่างอื่นวางได้หมด ยกเว้นกายใจ ยกเว้นศีลสมาธิปัญญา วางไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ วางไม่ได้เลยน่ะ

 ถ้ากล้าแลก ...แลกกับความสัมพันธ์ทั้งหมด แลกกับความถูกผิดในโลกทั้งหมด แลกกับความชมชอบของจิตเรา ความไม่พอใจ ความพอใจของจิตเราในอารมณ์โลก

นี่ ท่านแลก สละออก แลกไป ...เพื่อให้ได้กายใจปัจจุบัน เพื่อดำรงกายใจอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้รู้ถึงกายใจปัจจุบัน อย่างต่อเนื่อง

เพราะนั้นมันไม่ใช่ว่ามันจะได้กันมาง่ายๆ  มันต้องแลกเอามา ...จนบางท่านบางองค์ก็ต้องแลกชีวิตกันเลย เพื่อจะไม่ให้จิตมันคลาดออกจากกายใจปัจจุบันนี้ไป

แล้วไปก่อเรื่องก่อราว ไปก่อร่างสร้างขันธ์มารองรับ สร้างอารมณ์เป็นเราของเราขึ้นมา ข้างหน้าข้างหลัง ในภายภาคหน้า เป็นภพชาติชราพยาธิมรณะต่อไป

ถึงบอกกิเลสนี่เป็นสิ่งที่เหนียวแน่นที่สุดในสามโลกธาตุ ...อะไรที่ว่าเหนียวๆ เรียกว่าขาดได้ยาก ละไม่ขาด หรือว่าไม่มีเครื่องบั่นทอนทำลายล้างที่ว่ายากที่สุดในวัตถุข้าวของเรื่องราวต่างๆ

กิเลสนี่เป็นสิ่งที่เหนียวแน่นยิ่งกว่าอีก ยิ่งกว่าความเหนียวแน่นใดๆ ในโลกนี้ ...ถ้ายังปล่อยจิตปล่อยใจ ถ้ายังปล่อยเนื้อปล่อยตัว ให้เป็นเหมือนเดิม อย่างเดิม แบบเดิม ...ก็เรียกว่าประมาทตายใจกับกิเลส 

พวกเรา พวกผู้ภาวนานี่ ยังมีช่องว่างเยอะ เยอะแยะ เยอะจนเรียกว่า...รู้จักกระชอนไหม นั่น เอากระชอนไปตักน้ำน่ะ ...นั่นน่ะ ถามว่าศีลสมาธิปัญญาอยู่ไหน ก็อยู่ในกระชอนนั่นน่ะ

ปริมาณของศีลสมาธิปัญญามีแค่ไหน ก็อยู่ในกระชอนนั่นน่ะ ตักเข้าไปเหอะ ตักเท่าไหร่ก็รั่วเท่านั้นน่ะๆ ...มันจะเก็บพลังอำนาจของศีลสมาธิปัญญาได้ยังไง หือ  

นั่นน่ะคือรูรั่ว ช่องว่างที่มันออกไปพร้อมกับจิตปรุงแต่งน่ะ มากมายนับไม่ถ้วนกันอย่างนั้นน่ะ

เห็นมั้ย กิเลสมันไวขนาดไหน พึ่บ ไปเลย พั้บ ไปเลย ...มันหลุดข้ามกาย ทะลุกายไปแบบไม่เห็นฝุ่นเลยน่ะ ...กิเลสนำหน้านี่ นำหน้าแบบไม่เห็นฝุ่นเลย 

แล้วพอไปแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว ...ไม่มีคำว่ากลับตัวด้วยนะ ไปแล้วไปลับ ไปแล้วไปจ้อยเลย หายจ้อยเลยนะ ครึ่งค่อนวัน ...มันรั่วขนาดนั้น ศีลสมาธิปัญญามันรั่วขนาดนั้น

แล้วถามว่า...จะเอาอะไรไปละกิเลส หือ มันจะเอาปัญญามาจากไหน ...นี่คือคำตอบ นี่คือเฉลยคำตอบ ว่าคำตอบที่ถูกที่สุดอยู่ตรงไหน ...มรรคที่จะส่งผลจนเกิดผลน่ะ มันคือตรงไหน ต้องขีดระดับไหน 

แล้วพวกเราอยู่ในขีดขั้นไหนขององค์มรรค คือขั้นตอนไหนของศีลสมาธิปัญญาล่ะ ...ลองวัดแบบเทียบค่ากับกิเลส ประเมินกับกิเลสที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ดู มันก็เห็นแล้ว

เพราะนั้นสิ่งที่มันจะดึงให้ออกนอกกายใจนี่ มันมีตลอดเวลา...มาแบบคาดไม่ถึงเลย และตลอดเวลา กิเลสมันท่วมท้นสามโลกธาตุ ครอบงำสามโลกธาตุหมดเลย มืด มิดเลย คลุมแบบมิดเลย

ถ้าไม่เอาความตั้งใจอดทนมาสู้กันในเบื้องต้นแล้วนี่ คือตั้งใจที่จะรู้จริงๆ จังๆ กับกายนี้ ...เอาความตั้งใจนี่มาเป็นตัวสู้กับกิเลสก่อน เอาความอดทนเป็นตัวสู้กับกิเลสก่อน 

เรียกว่าขันติเป็นตบะที่แผดเผาก่อน ...แล้วมันก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างศีลสมาธิปัญญาขึ้นมา

คืออย่าพัก เหนื่อยก็ทำ ไม่เหนื่อยก็ทำ ดันทุรังกันไปมาอย่างนี้ ...ดันทุรังกับกิเลสนี่ ไม่ต้องถามถึงชนะหรอก แพ้มันตลอด เข้าใจรึเปล่า รู้สึกว่าแพ้อยู่ตลอด...ก็ต้องทำ อย่างนั้นน่ะ

ไม่มีแม้แต่ว่าอิ่มใจได้ขณะหนึ่งว่า กูชนะแล้ว ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ...เพราะนั้นมันจะมีความรู้สึกว่า ไม่ไหว ไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง อยู่ตลอดเลย อยู่อย่างงั้นแหละ

แต่อย่าหยุด ที่จะมุ่งมั่น มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการปฏิบัติ นี่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติโดยไม่หวังผล แม้ว่าผลที่ได้คือแพ้ตลอด

เพราะกิเลสมันเยอะเหลือเกิน มากเหลือเกิน ...เรื่องที่เกิดค้างไว้..เยอะแยะ  แล้วยังมีเรื่องที่ยังมาไม่ถึงอีก..เยอะแยะ  แล้วไอ้เรื่องที่อยู่ในปัจจุบันก็อีก..เยอะแยะ

มันก็เป็นธรรมดา ...ก็บอกแล้วว่าเวลาว่ายน้ำแล้วไม่เห็นฝั่งนี่ มันจะเป็นอยู่ในอาการนั้นน่ะ ทุกคนไป ...ไม่ว่าใคร ไม่ว่าพระอริยะองค์ไหน ท่านก็เริ่มต้นจากจุดนี้ทั้งนั้น

เอ้า ไป ไปตั้งเนื้อตั้งตัว ไปตั้งกายตั้งใจ ...ถ้าตั้งไม่ได้มันก็ล้ม 
ถ้าตั้งได้ ตั้งกายได้...มันก็ตั้งใจได้  ใจก็ตั้งกายก็ตั้ง 
ต้องคอยตั้งอยู่ตลอด เพราะมันจะล้มอยู่เสมอ

อย่าไปทำเป็นตุ๊กตาล้มลุก 

แต่เอาเหอะ...ล้ม-ลุก ...ก็ยังดีกว่าล้มแล้วไม่ลุก




คัดลอกโดยตัดทอนและเรียบเรียงใหม่จาก

คำสอน "พระอาจารย์" 

(แผ่น 16) ชุดแทร็กต่อเนื่อง 16/28-30









วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

"ตำตา...ตำใจ"




กล้าจริงก็รู้ตัวไป อยู่กับตัวอยู่กับกาย นี่ล่ะ ...ลองดู  

แล้วจะรู้ว่า...การปฏิบัติที่เราเคยตั้งค่าของการปฏิบัติเอาไว้ว่าผลลัพธ์คืออะไร  จะเข้าใจเองว่าไอ้ที่ตั้งค่าไว้น่ะผิดหมดเลย...ด้วยความเห็นความเชื่อนี่ ผิดหมดเลย

ถ้าทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่มาสอนคนหรอก เพราะท่านเห็นว่าคนน่ะสอนง่ายที่สุดแล้ว มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ ไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ 

และนี่เป็นที่ที่ธรรมทั้งปวง ทั้งสี่เหล่านี่ ทั้งสี่ภูมิอริยธรรมทั้งหมด...จะงอกงามได้ง่ายที่สุดในมนุสส เพราะนั้นอย่าประเมินตัวเองต่ำ

แล้วจะเข้าใจเองว่า...การละสักกาย ไม่มีวิธีการละ ไม่มีวิธีอุบายใดเลย  มันละเข้าไปในตัวของมันเอง บอกให้เลย ...นี่เป็นการทำที่โง่ที่สุด แต่ชื่อเรียกว่าปัญญาวิมุติ

เห็นมั้ย ชื่อกับการกระทำนี่คนละเรื่องกันเลย  โง่อย่างเดียว ไม่เอาความรู้ใดมาเลย 

นั่นน่ะเขาเรียกว่ามันจะลบบัญญัติสมมุติ  แล้วก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ...เพราะตามความเป็นจริงนี่ เขาไม่ได้เป็นอะไร

ถ้าดูเฉยๆ ดูด้วยความสงบนะ ทุกอย่างเป็นปรมัตถ์ เป็นความจริงตามความเป็นจริง ...เห็นมั้ย มีความรู้อะไรมั้ยในนั้น ต้องไปรู้อะไรมั้ยในนั้น ต้องไปบอกมั้ยว่ามันคืออะไรในนั้น ...นั่นน่ะตามความเป็นจริง

เพราะนั้นรู้จริงน่ะ...เงียบ ไม่มีปาก ไม่มีเสียงเลย ...นิ่งอยู่ภายในนั้น รู้อยู่ภายใน ก็เห็นความเป็นจริง ...มันจะซาบซึ้งอยู่กับความไม่มีไม่เป็นในความหมาย

นั่นแหละ มันเข้าไปเห็นกายเป็นอนัตตา เห็นกาย ในส่วนที่ไม่มีตัวตน เห็นกายในส่วนที่ไม่มีโดยสมมุติบัญญัติ เห็นกายในส่วนที่มันเป็นแค่อาการถูกปรุงแต่งโดยเหตุปัจจัย ไม่ได้ตั้งด้วยใคร เพื่อใคร


ถ้าเห็นตามความเป็นจริงของกาย...ก็อันเดียวกันหมด ...นี่ หากันแทบตาย ตัวเองไม่เห็น ...อยู่ตรงนี้ อยู่ต่อหน้านี่ สิงสู่อยู่กับมันนี่ตั้งแต่เกิด ไม่เคยแยบคายดูเลย

เมื่อมีกายตัวเดียว กายคนอื่นก็ไม่มี นี่...เอาจนกายเหลือแต่กายเงียบที่สุด จนใจเงียบไปพร้อมกับกาย เหลือแค่รู้กับกาย ...เห็นกาย จนรู้...แต่ไม่รู้ว่ากายๆ ไม่เห็นว่าเป็นกาย

นั่นแหละ ถึงจะเข้าใจ หากายไม่เจอแล้ว ...ก็เห็นอยู่ตำตา ก็รู้อยู่ ...แต่หากายไม่เจอ เจอแต่อะไรก็ไม่รู้ อะไรงั้นๆ น่ะ ใครจะว่ากายก็ว่าไป

เหมือนกับพระอัญญาโกณฑัญญะ ที่ท่านพูดว่า...สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ...นี่ ท่านเห็นว่าเป็นแค่สิ่งหนึ่ง

รูปนามเป็นแค่สิ่งหนึ่ง อาการของรูปนามก็เป็นแค่สิ่งหนึ่ง อารมณ์ของรูปนาม เวทนาของรูปนามก็เป็นแค่สิ่งหนึ่ง ...ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งนั้น

ท่านมองข้ามบัญญัติ ท่านมองข้ามสมมุติไป ท่านมองทะลุเข้าไปถึงแค่สิ่งหนึ่ง อาการหนึ่ง ...ถึงเรียกว่า ยังกิญจิ สมุทยะธัมมัง สัพพันตัง... สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

ท่านมองเห็นความจริงแค่นั้นเอง ...ไม่ได้ลึกซึ้ง ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรอย่างที่พวกเราพยายามที่จะให้เห็นกายเป็นอันนั้นกายเป็นอันนี้ แล้วถึงจะวางได้

แล้วจากนี้มันจึงจะเห็นเป็นอาการเดียวกัน ทั้งโลก ทั้งจักรวาล ทั้งอนันตาจักรวาล ทั้งสามภพ ...นั่น ในอนันตาจักรวาล มันยังมีอีกสองภพซ้อนอยู่ในอนันตาจักรวาล

ท่านก็เห็นเป็นเพียงแค่อาการหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้ประหลาดมหัศจรรย์ดีร้ายถูกผิดอะไร  ประเสริฐประณีตกว่า ต่ำกว่า สูงกว่า เหนือกว่า เสมอกัน...ไม่มี 

ท่านเห็นมีแค่อาการหนึ่ง...เท่านั้นเอง



คัดลอกโดยตัดทอนและเรียบเรียง
จาก...คำสอน "พระอาจารย์"
(แผ่น 4) แทร็ก 4/30





วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

"แค่นี้เอง"...เหรอ?




พระอาจารย์ -  ฝึกอยู่อย่างนี้ ทำอยู่อย่างนี้  ไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องอะไรมาก ไปค้นหาอะไร วิธีการปฏิบัติอะไร ...ก็แค่นี้ คอยหยั่งคอยดูความรู้สึกในกายตัวเอง ตรงไหนมันชัดก็จับไว้ อยู่อย่างนั้นไว้ ถือไว้ ครองไว้

ส่วนใดที่เป็นอารมณ์ เมื่อรู้ว่ามีอารมณ์อะไรขึ้นมานี่ ...อย่าไปเอามัน อย่าไปจริงจังกับมัน ปัดทิ้งเลย  จะหงุดหงิด จะขุ่นข้อง จะพอใจ-ไม่พอใจ จะรำคาญ พวกนี้ จะเป็นอารมณ์รูทีน

มันเป็นอารมณ์รูทีนระหว่างทำงานหรือพบเจอผู้คน...รำคาญ เบื่อ เซ็ง หงุดหงิด ไม่อยากเห็น ไม่อยากคุย อะไรอย่างนี้ มันเป็นอารมณ์ที่มันขึ้นมา ...ให้เห็น แล้วอย่าไปตาม อย่าไปอยู่กับมัน

ไม่ใช่ห้ามมัน ไม่ใช่ห้ามไม่ให้มันเกิดนะ มันต้องเกิดอยู่แล้วแหละ  แต่ว่าเมื่อรู้แล้วว่ามันเกิดอารมณ์หรือมีอารมณ์นี้อยู่ ...อย่าไปอยู่กับมัน ให้มาอยู่กับกาย


โยม
  เหมือนเวลาเกิดอารมณ์อะไรพวกนี้ แล้วพอเรากลับมาดูตัวเองน่ะครับอาจารย์ มันเหมือนเราแค่ไม่มองมัน แต่มันยังอยู่ตรงนั้นตลอดเลยครับ

พระอาจารย์ –  ช่างมัน


โยม
  แล้วพอพลาดปุ๊บ มันก็กลับมาตลอดเวลาอย่างนี้ครับ

พระอาจารย์   คืออย่าไปยุ่งกับมัน ...มันจะหาย หรือมันจะไม่หาย ...มันจะคา นั่นน่ะเขาเรียกว่ามันคา เช่นว่ากลับมาอยู่กับกายแล้วมันยังไม่หายไปไหนใช่ไหม อารมณ์น่ะ

เนี่ย เรียกว่ามันยังคาข้องอยู่ แต่ว่าเราไม่ต้องไปข้องกับมัน  มันจะคาเหมือนดาวค้างฟ้าอย่างนั้น...ก็ช่างหัวมัน


โยม
  บางทีคาเป็นวันเลยครับ

พระอาจารย์   เออ ช่างมัน อย่าไปให้กำลังกับมัน คืออย่าไปตบตีมัน อย่าไปไล่มัน แล้วก็อย่าไปนอนอยู่กับมัน ...นี่ เรียกว่าถอยจากมัน แล้วมาอยู่ตรงนี้ หาตรงไหนก็ได้ ที่เป็นกายนี่ เป็นที่อยู่

นี่เขาเรียกว่าอยู่กับศีล ภาษาพระเรียกว่าอยู่กับศีล...ไม่อยู่กับกิเลส ... ถ้าส่วนอารมณ์นี่เราเรียกว่ากิเลส  ถ้าไปอยู่กับกิเลสแล้วเดี๋ยวมันยืดยาวยิ่งกว่านี้  จากที่เป็นวันนี่...จะข้ามชาติไปยังได้เลยนะ

ไม่ใช่แค่เป็นวันเป็นปีนี่ว่านาน ...ไม่นานนะ  เป็นวัน เป็นเดือนนี่ ถือว่าไม่นานนะ ยังเห็นว่าหายได้น่ะ ...แต่ถ้าไปหมกมุ่นจมปลักอยู่ในนั้นน่ะ มันพาข้ามภพข้ามชาติเลย 

เกิด-ตายกันไม่รู้ว่ากี่ชาติ...ก็เพราะว่าคาแค่อารมณ์นี่แหละ ...แค่รักมึงนี่ แค่ความรักในตัวมันที่เห็นนี่ แค่จุดนี้แค่นี้ พาวนเวียนมาหากัน มาเจอกันนี่เป็นแสนๆ ชาติเลย
 

ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย แค่อารมณ์แค่นี้นะ ...แค่อารมณ์แค่นี้เองเหรอ...เราบอกให้เลย...ใช่  ความผูกพันในอารมณ์แค่นิ๊ดเดียวนี่ พาเกิดตายได้นับแสนล้านชาติเลย


เพราะนั้นการที่เราเห็นว่าคาแค่ชั่วโมง-สองชั่วโมง  แล้วยังเห็นว่า..เออะ เดี๋ยวก็หายไป ดับไป...นี่ ถือว่า ชำระภพชำระชาติได้หลายแสนหลายล้านชาติไปแล้ว

ถึงบอกว่า อย่าประมาทในธรรม ว่า...โหย แค่นี้เอง ไม่เห็นได้อะไรเลย ...เนี่ย มันยังไม่รู้น่ะว่าชำระยังไง มันไม่มีนัมเบอร์ ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า นี่ มันละได้เป็นแสนๆ ชาติเลยนะ 

เหมือนกับการเกิดตายๆ ของพวกเรานี่...โอ๋ย มันไม่มีประมาณการณ์เลย ไม่มีคำว่ารันนิ่งนัมเบอร์ นับใส่หมายเลขได้เลย ...แล้วยังจะเพิ่มที่ไป ที่หมาย ที่มั่น กันอีกไม่มีประมาณ เนี่ยนะ

เพราะว่าไอ้ความนึกคิดต่างๆ นี่...ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร  ดูเหมือน..."เอ๊ย เป็นเรื่องธรรมดา"  นี่...มันไม่ธรรมดาเลยน่ะ กิเลสไม่ธรรมดาหรอก ...ไม่เคยธรรมดาเลย

แล้วเราก็ไปคุ้นเคยกับมันอย่างยิ่ง นั่นแหละ...จนคุ้นเคยกับมันอย่างยิ่ง นั่นแหละ 


คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก
คำสอน “พระอาจารย์”
(แผ่น 17) แทร็ก 17/27
  



วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

"ไม่เล่นนะ !"





พระอาจารย์   ให้ห้าวหาญในการปฏิบัติ ...อย่าไปห้าวหาญตามกิเลส อย่าไปห้าวหาญกับการเอาชนะคะคานในความคิดในความเห็นกับคนอื่น

มันไม่มีประโยชน์หรอก เสียเวลาเปล่า ...บาดเจ็บล้มตายเพราะว่าทะเลาะเบาะแว้งกันในธรรมนี่ล่ะ ตกนรกหมกไหม้ก็เพราะการทะเลาะกันในธรรมนี่แหละ

ซึ่งมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ว่าตรงต่อธรรมเลย มันไม่ได้เป็นสิ่งที่จรรโลงพระศาสนาเลย ...กลับทำความมืดมน  มืดบอด ต่อศีลสมาธิปัญญาเสียด้วยซ้ำ

การจะสืบทอดอายุพระศาสนา การจะทำให้พระศาสนานี้มีคุณค่า มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมรรคเป็นผลขึ้น ...คือต้องทำตัวเองนี่ให้บังเกิดด้วยศีลสมาธิปัญญา

ทำให้มันถึงด้วยตัวเองสิ เอามันจนเคารพได้...เคารพศีลของตัวเองได้น่ะ ไม่บกพร่องในศีลเลย อย่างนี้

นี่ เอาแค่ศีลตัวเดียวน่ะ...ให้มันตรง และกล้าที่จะทุ่มเทลงไป ...ท่านถึงบอกว่า รักษาศีลเท่าชีวิต

หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็น ไม่ว่าจะใกล้ตาย ไม่ว่าจะกำลังจะตาย หรือไม่ว่ากำลังเดือดร้อนแสนสาหัส ทุกข์ทุรนทุราย บีบคั้นด้วยกิเลสภายนอก-ภายใน

ถูกเหตุการณ์จู่โจม ฮึกโหม  ถูกเผาลนด้วยสภาวะโลก สภาวะครอบครัว สภาวะเหตุบ้าบออะไรที่จะเจอในหน้าที่การงานนี่ ...จะต้องอ้างถึงศีล อิงถึงศีล...ให้ถึง..ให้ได้

นั่นแหละคือผู้ปฏิบัติที่แน่วแน่ต่อศีล ...นี่ ต้องการผู้ปฏิบัติที่แน่วแน่ต่อศีล ก่อนที่จะแน่วแน่ต่อนิพพาน ...ถ้าไม่ได้ศีลก็ไม่ได้นิพพาน ถ้าไม่มีศีลก็ไม่เกิดนิพพาน ถ้าไม่ถึงศีลก็ไม่ถึงนิพพาน

นี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ นั่ง..รู้ ยืน..รู้ เดิน..รู้ ขยับ..รู้ ไหว..รู้  อยู่อย่างนี้ รู้มันเข้าไป ...ก้าวเดินแต่ละก้าวนี่ การกระทบ ฝ่าตีนกับผืนดินนี่...ให้มันพอดีกัน ให้มันรู้ทันกัน รู้เท่ากัน เสมอกัน

กายใจนี่เสมอกัน ไม่ให้ล้ำกัน เกินกัน ...ขาซ้ายไปแล้ว ไปรู้ที่ขาขวายังไม่ก้าวอย่างนี้ หรือขาขวาก้าวแล้ว ไปรู้ตอนที่ขาซ้ายมันกำลังก้าวอยู่ อย่างนี้ มันไม่พอดีกัน

หรือไม่รู้เลยทั้งซ้ายทั้งขวา แต่เสือกไปรู้ว่า...ไอ้นั่นมันเลิกกับกู กูเลิกกับมึง คนนั้นมันไปเอาคนนี้ ...ไปรู้ทำไม ไอ้นี่เขาเรียกว่านอกกายนอกใจ นอกศีลนอกสมาธิปัญญา

อย่างนี้เรียกว่าออกนอก..แบบให้อภัยไม่ได้ ...สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมนะ ถ้าคนอื่นเราไม่ว่า เขาไม่ได้มาขอเข้าทะเบียนสำมะโนครัวเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ...ช่างหัวมึง 

แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมนี่ ถือว่าผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เป็นการแสดงถึงความไม่เคารพต่อศีล บกพร่อง ไม่เคร่งครัด ไม่มัธยัสถ์ในศีล

แต่ว่าไอ้การห้าม หรือการที่ว่าไม่ให้มันเกิดอาการหลงลืม หรือว่าพลั้งเผลอ ลืมเลือนไปนี่ ...มันห้ามไม่ได้อยู่แล้ว ...แต่อย่าไปเห็นดีเห็นงามไปกับมัน เมื่อมันเกิดพลาดพลั้งเผลอไป

ต้องรีบเร่ง...กลับที่กลับฐาน...กลับกาย กลับมาอยู่กับใจ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน...อย่างเอาจริงเอาจัง ...นี่ อย่างเอาจริงเอาจังด้วยนะ ไม่ใช่เอากันเล่นๆ นะ

เพราะกิเลสมันไม่เคยเล่นกับเราหรอก มันเอาจริงนะ ...กิเลสนี่เขาเอาจริงนะ เขาให้ทุกข์จริง เขาสร้างทุกข์จริง เขาสร้างสุขให้จริง เขาสร้างเรื่องหลอกลวงจริงตลอดเวลา

เขาจริงจังนะ...ในการสร้าง ในการปรุง ในการแต่งนี่ ...เขาไม่ได้มาแกล้งเราเล่นๆ นะ เอากันจนตาย-เกิดๆๆ เป็นนับภพนับชาติไม่ได้...นี่ ไม่ใช่เล่นๆ กันนะ

แต่ศีลสมาธิปัญญาของเรา มาทำกันเล่นๆ ได้ยังไง...กิเลสเขาไม่เล่นด้วยน่ะ!






หมายเหตุ : คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก

คำสอน "พระอาจารย์" 

(แผ่น 17 แทร็ก 17/21)