วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แจ็กพอต!





พระอาจารย์ –  ภาวนาหาเกิดมาตั้งหลายปีแล้ว ยังก้าวข้ามความเป็นคนไม่ได้เลย ยังหนีพ้นความเป็นคนไม่ได้เลย ทั้งหัวเราะไปทั้งร้องไห้มาก็เยอะ ก็ยังก้าวข้ามความเป็นคนนี้ไม่ออก

นี่คือภพชาติปัจจุบันนี่ ...เอามันไปไว้ไหนล่ะ เอาไว้ลงหลุมเหรอ เอาไว้เผาเวลาตายเหรอ เอาไว้ให้ญาติเก็บกระดูกมาขึ้นหิ้งหรือไง หือ ...มีกายเอาไว้แค่เนี้ยนะ

ถ้ามีกายไว้แค่นี้ เราเรียกว่าอะไรรู้ไหม...เสียชาติเกิด ...อุตส่าห์ดิ้นรนขวนขวายลงทุนลงแรงนะ กว่าจะได้กายก้อนนี้มาน่ะ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ ...ได้กายมานี่ไม่ใช่ของง่าย

ท่านเปรียบเหมือนว่า...มีเต่าตัวหนึ่งดำผุดดำว่ายอยู่ในมหาสมุทร แล้วร้อยปีทีหนึ่งจึงมีบ่วงบาศทิ้งลงมากลางมหาสมุทร แล้วมันคล้องพอดีหัวเต่านั้นน่ะ ...นั่นน่ะการเกิดมนุษย์ ยากขนาดนั้น ไม่ใช่ของง่าย

การได้กายมาเป็นสมบัติ การได้ขันธ์ห้ามาเป็นสมบัตินี่...มนุสสปฏิลาโภ ...ยังมีผู้อยากเกิดเป็นคนอีกเยอะ ยังมีจิตวิญญาณมากมาย นับอเนกอนันต์ที่รอการมาเป็นคน...แต่ยังไม่มีโอกาส

แต่พวกเราๆ ท่านๆ นี่ มีโอกาส ได้โอกาส ...แต่ใช้โอกาสไม่เต็มที่  ปล่อยให้กายนี้ ค่อยๆ เสื่อมสภาพแตกสลายไป...โดยไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลในองค์มรรคขึ้นมาเลย

อีกทั้งบางผู้ปฏิบัติยังถึงขั้นปรามาสกายและศีล ว่าเป็นของต่ำ ว่าเป็นของไม่สำคัญ ว่าเป็นของพื้นๆ ว่าเป็นของที่ทำให้ติดข้องหรือว่าบังในการภาวนาด้วยซ้ำ

โอกาสของกายนี่...มีไม่มาก ประมาณโดยเฉลี่ยก็ ๘๐ ปีเท่านั้นเอง นิดเดียวนะ...เทียบกับอายุขัยจักรวาล อนันตาจักรวาล เทียบกับอายุที่ไม่มีวันจบสิ้นของจักรวาล...ถือว่าเหมือนกับน้ำค้างกลางหาวหนึ่งหยดเอง

นี่เขาเรียกว่าเป็นนาทีทอง...ที่จะตักตวงศีล เพื่อเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เพื่อเป็นเหตุให้เกิดปัญญา เพื่อให้เกิดความชัดแจ้งในองค์มรรค เพื่อดำเนินอยู่ในองค์มรรคจนถึงผล

แต่นักภาวนากลับละเลย เมินเฉย ไม่เห็นสาระสำคัญในกาย ไม่เห็นสาระสำคัญในศีล..ปกติปัจจุบันกายปัจจุบันศีลนี้ ...กลับไปเห็นสาระสำคัญในศีลที่เป็นข้อๆ ข้อๆ แค่นั้น 

แล้วก็กลับไปเห็นสาระสำคัญในการภาวนา...ในส่วนที่เป็นนามธรรม สภาวธรรม สภาวะจิต สภาวะอารมณ์ สภาวะกิเลส ...มันละเลยรากเหง้า พื้นฐาน

นี่เวลาพวกเราไปรับศีล พระท่านให้ศีลให้พร...สีเลนะ สุคะติง ยันติ .. สีเลนะ โภคะสัมปะทา .. สีเลนะ นิพพุตติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย ...จะสำเร็จเข้าสู่นิพพานได้ด้วยศีลวิสุทธินี่...อันบริสุทธิ์ในศีล

ฟังกันเช้าค่ำนั่นแหละ เวลาเข้าวัดทำบุญให้ทานขอศีลอะไรนี่ จะต้องมีพระท่านบอกว่า สีเลนะ นิพพุตติง ยันติ ตัสมา สีลังวิโสธะเย ... สีลังวิโส สีลวิโส คือศีลวิสุทธิ

แต่พวกเรากลับให้สาระสำคัญในศีลวิสุทธินี่น้อย แล้วก็คลาดเคลื่อนในนัยยะของคำว่าศีลวิสุทธิ ศีลอันบริสุทธิ์ ...บริสุทธิ์กายจึงจะถึงคำว่าบริสุทธิ์ใจ อันนี้ก็เป็นคำพูดที่มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว

ทุกอย่างทำด้วยความบริสุทธิ์กายบริสุทธิ์ใจ นี่ภาษาคำพูด ...แต่จริงๆ ไม่เคยบริสุทธิ์กายบริสุทธิ์ใจหรอก  ปากว่าเฉยๆ มันไม่เข้าถึงความบริสุทธิ์กายบริสุทธิ์ใจในความเป็นจริง

คำว่าบริสุทธิ์กาย...มันบริสุทธิ์ยังไง เข้าถึงความบริสุทธิ์กายมันเข้าถึงยังไง ทำยังไงถึงจะทำความบริสุทธิ์กายให้เกิดขึ้นได้ ...ตรงนี้ต้องมาเรียนรู้เรื่องของศีล 

ตรงนี้ต้องเอาสติมาเรียนรู้กับกาย ที่มันมี ที่มันกำลังดำรงอยู่ในปัจจุบัน ...แล้วมันเฟ้น..สติ สมาธิ จะเป็นตัวเฟ้น คัดกรอง สิ่งที่มันแอบอิงกับกายปัจจุบัน 

นี่ไม่พูดในฐานะกายอดีตกายอนาคตเลยนะ ...อะไรที่มันแอบอิงอยู่กับกายปัจจุบันนี่ สติ สมาธิ และปัญญานี่ มันจะคัดกรองออก กลั่นกรอง แยบคาย โยสิโสมนสิการออก

จนเหลือแต่กายเน็ทๆ กายล้วนๆ ที่ปราศจากมลทินแอบอิง เจือปน ครอบงำ ปิดบัง บิดเบือนจากสภาพที่แท้จริงของกาย ...ก็จะเข้าถึงวิสุทธิกาย ก็จะเข้าถึงวิสุทธิศีล เป็นครั้งเป็นคราวไป

ความรู้สึกแข็ง ตึง อ่อน แน่น หนัก เบา ไหว นิ่ง อุ่น ร้อน หนาว เย็น ยวบยาบ ซาบซ่าน ...เหล่านี้คือความรู้สึกที่แท้จริงของกาย คือการปรากฏขึ้นของกายอย่างแท้จริง

คือความเป็นกายตามสภาพ ที่ไม่ได้เกิดจากการเสกสรรปั้นแต่งของใครบุคคลใด ...จึงเรียกว่าเป็นกายปกติ กายธรรมดา หรือกายศีล หรือกายวิสุทธิ...กายอันบริสุทธิ์

ปราศจากมลทิน...คือความคิด ความเห็น ความปรุงแต่ง ความหมายมั่น ความเชื่อ ภาษา บัญญัติ ตำรา อดีต อนาคต ...เห็นมั้ย ตัวมลทินที่มันมาครอบงำกายนี่ มันเนื่องมาจากจิตล้วนๆ

แล้วมันจะเห็นกายบริสุทธิ์ได้ด้วยวิธีการใดเล่า ถ้าไม่ใช่ด้วยสัมมาสมาธิ..ใช่ไหม ...แล้วทำกันบ้างไหมเนี่ย เออ ไม่ใช่ว่าทำแค่พอผ่านไปที 

แค่นั้นน่ะมันจะพอมั้ย มันจะพอล้มล้างได้มั้ย ...กับกิเลสที่มันนอนเนื่อง จมแช่ ให้มันเผลอไผล ล่องลอยออกจากก้อนกายก้อนศีลในปัจจุบัน

แต่ให้มันเห็นซ้ำซากลงในก้อนนี้...ที่นี้ที่เดียว เวลาเดียว ...รู้ไหมเวลาเดียวคือเวลาไหน ...คือเวลาปัจจุบัน ถือเวลาปัจจุบันเป็นเวลาเดียว

กายมันไม่หนีไปไหนหรอก เขาก็แสดงความเป็นจริง..หัวจรดตีนเนี่ย..วันยังค่ำ ไม่เคยมิดเม้ม ไม่เคยปิดบัง ไม่เคยแอบ ไม่เคยซ่อน ...เขาประกาศความเป็นจริง ทุกปัจจุบันไป

มันต้องไปค้นไปหาที่ไหนไหมเนี่ย มันต้องไปทำขึ้นมาใหม่ไหมเนี่ย มันต้องไปออกแรงแบกหามไหม มันต้องไปลงทุนทำบุญ ไปรอผลบุญในภายภาคหน้าไหม 

มันต้องลงทุนมาเชียงใหม่มั้ย มันต้องลงทุนมานั่งอยู่หน้าอาจารย์มั้ย มันต้องเปลี่ยนเป็นท่านั่งขัดสมาธิเพชรสองชั้นหรือสี่ชั้นไหม ...มันถึงจะเห็นอันนี้ขึ้นมาได้นี่ หือ มันง่ายเกินไปไหมเนี่ย

เออ ก็เพราะไอ้มันง่ายเกินไปนี่ มันเลยไม่ค่อยเชื่อ..."ไม่น่าจะใช่  พระพุทธเจ้าท่านน่าจะสอนอะไรที่มันยากกว่านี้รึเปล่า ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้รึเปล่า...เอาที่ไหนมาพูด อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ"

แต่มึงต้องเชื่อ เพราะกูเป็นพระพูด...ไม่ได้อมพระมาพูด แต่กูเป็นพระมาพูด มึงต้องเชื่อ 

เออ ถ้าอมพระมาพูด..ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่นี่เป็นพระมาพูดนี่ต้องเชื่อซะบ้าง ไม่ได้โกหก ...เถียงมาดิ ไอ้ที่พูดมามันไม่จริง เถียงได้มั้ย



คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก

คำสอน "พระอาจารย์"

(แผ่น 15) แทร็ก 15/30