วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

สบาย...สบาย



อย่าเบื่อ อย่าท้อ ในการที่จะรู้เพียงแค่สิ่งเดียวกายเดียว ...แม้ว่าความรู้สึกมันอึดอัด มันคับ มันข้องขึ้นมา ...นั่นแหละ ถือว่าเป็นการแผดเผากิเลส 

มันเป็นตบะ...ที่มันเข้าไปแผดเผากิเลสให้เกิดความเร่าร้อนรุ่มร้อนในการที่จะทะยานไป ทะยานหา...ความรู้ก็ตาม เรื่องราวก็ตาม ความสนุกเผลอเพลินก็ตาม 

แล้วมันไม่ได้ไป มันถูกจำกัดให้รู้อยู่เห็นอยู่จำเพาะกายจำเพาะจิตเดียวรู้เดียว มันก็มีความเร่าร้อนภายในเป็นธรรมดา ...แต่ให้ถือว่ามันเหมือนกับเป็นการแผดเผากิเลสภายใน
 

ต้องภาวนาไม่ท้อถอย ...การละทุกข์ การออกจากทุกข์ การเหนือทุกข์ ยังไงมันก็ต้องทุกข์ ...ไม่มีหรอกภาวนาชาติไหนภพไหนที่มันจะไม่มีทุกข์ ไม่เกิดทุกข์ในการภาวนา 

ถึงบอกว่า “ขันติ” นี่สำคัญ ...ทนอย่างเดียว ...ให้มันตายไปเลย ให้มันเครียดจนตายไปเลย...ถ้ามันจะไม่พูด ถ้าจะไม่ต้องไปปรับทุกข์ให้ใคร ไม่ไปบ่นไปจ่มกับใคร 

ให้มันตายไปพร้อมกับความอยากนั่นน่ะ ...ดูซิ มันจะอยู่ได้มั้ย มันจะทานอำนาจของศีลสมาธิปัญญาได้มั้ย...กิเลสน่ะ มันแน่กว่ามั้ยล่ะ ...ใครมันจะแน่กว่า

อย่าตกเบี้ยล่างของมัน อย่าให้มันมานั่งขี่คอ นอนขี่คอ คอยชี้ คอยกำกับ คอยบงการ ...ไอ้ตัวกิเลสตัวใหญ่ก็คือหน้าเหมือนเราน่ะแหละ ...นั่นแหละ "เรา" นั่นแหละ (หัวเราะกัน) 

ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย โคตรกิเลสเลย...เรานั่นแหละ ...อย่าไปฟัง อย่าให้มันขี่คอชี้นำ ชี้นกก็ต้องเป็นนก ชี้ไม้ก็ต้องเป็นไม้ ชี้นกก็ให้เป็นไม้ ชี้ไม้ก็ให้เป็นนก มันชี้มันสั่งได้หมดเลย

ต้องเอาศีลสมาธิปัญญาเข้าไปแก้มัน ให้ศีลสมาธิปัญญามันเหนือกว่า ให้มันมีอำนาจเหนือกว่ากิเลสหรือความเป็นเรา ความอยากของเรา ความไม่อยากของเรา

ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าสู่โคตรภู ยังไงๆ ก็ยืนเดินนั่งนอนอยู่กับ "เรา" กันนั่นแหละ มันไม่หายไปไหนหรอก ...ก็ต้องทนกับมันไป 

มันก็คอยแสดงอาการ อย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น อย่างนู้น ตลอดเวลาอยู่ ...มันบงการอยู่ภายในจิตนั่นแหละ สร้างเรื่องสร้างราวเสมือนจริงเป็นจริง อยู่ในจิตนั่นแหละ

ถึงบอกว่าอย่าไปฟังมัน เดี๋ยว "เรา" มันก็ค่อยๆ หงอยเหงาไปเองน่ะ  เห็นมั้ย เวลาไปอยู่คนเดียวแล้วมันรู้สึกเหงา มันหงอย มันจะตายแล้วนั่นน่ะ...“เรา” จะตายแล้ว นั่น ที่รู้สึกว่าเราจะตายแล้ว มันเหงา

นี่ก็กลัวมันตายอีกต่างหาก ก็เลยไปหาอาหารการกินให้มัน...ด้วยการคุยๆๆๆ ... “เรา” ก็สดชื่นขึ้นมาเลย มีความสดชื่นเบิกบานอยู่ภายใน “เรา”  

ไม่ใช่เบิกบานในใจนะ ไม่ใช่เบิกบานด้วยผู้รู้ผู้เห็นนะ ...แต่มันเบิกบานใน “เรา” 

เพราะได้คุยแล้ว ได้เที่ยวแล้ว ได้ปรับทุกข์ ได้กระจายความทุกข์ให้คนอื่นเขารับรู้ ...เพื่อให้เขามายอมรับว่าเราทุกข์จริงๆ มีเพื่อนร่วมทุกข์ มีสุขร่วมเสพแล้ว สดชื่น สบายใจ 

มันก็ว่า "เราสบายใจ" ...แต่จริงๆ ใจเขาไม่เคยสบายหรือไม่สบายหรอก ... มันสบาย “กู” (หัวเราะกัน) สบาย “เรา” ต่างหาก เนี่ย  มันเป็นอย่างนั้นกัน

จริงๆ แล้ว ใจไม่มีคำว่าสบายหรือไม่สบาย ... มีแต่รู้กับเห็น 

ใจไม่เคยเป็นทุกข์ ... แล้วใจก็ไม่เคยเป็นสุข 

ที่ว่าสุขว่าทุกข์ ที่สบาย ... นั่นน่ะ "เรา" นะ




หมายเหตุ : คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก
"คำสอน พระอาจารย์" แผ่น 11 แทร็ก 11/18





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น