วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

สัมมาสมาธิ




พระอาจารย์ -  การภาวนาก็คือการกลับมาอยู่ หรือว่ามุ่งตรง มุ่งไปสู่ความเป็นจริง ...การที่มุ่งตรงไปสู่ความเป็นจริงน่ะ พระพุทธเจ้าก็วางหลัก บอกหลักไว้ว่าคือมรรคแปด คือศีลสมาธิปัญญา...ไตรสิกขา

เพราะนั้นความเป็นจริงเบื้องต้น เบื้องแรกเลยนี่...ที่เป็นเครื่องยืนยันความเป็นจริง มีอยู่จริง ปรากฏอยู่จริง ทุกปัจจุบันเลย มันไม่หลีกหนีไปจากศีลหรือว่าปกติปัจจุบันกายนี่

นี่คือความเป็นจริงสิ่งแรก...ที่มีอยู่ตลอดเวลา แสดงความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา แสดงความปรากฏอยู่จริงอยู่ตลอดเวลา

เพราะนั้นการภาวนาก็มุ่งตรงไปสู่ความเป็นจริง...เบื้องต้นเบื้องแรกคือกายคือศีลนั่นเอง ...การค้นคว้าหาความเป็นจริง ก็คือการค้นคว้าหาอยู่บนรากฐานของกายนั่นเอง ไม่ได้ไปหาที่อื่นเลยความเป็นจริงนี่

เพราะนอกจากนี้ไป ทั้งหมดสิ้นไปตลอดสายแห่งการเกิดมาของอวิชชา ...ตลอดเส้นทางของมันเลยคือความไม่จริงทั้งสิ้น 

ช่องทางการออกมาของกิเลสน่ะ ก็บอกแล้วว่า...มันมาจากจิตสังขารนั่นเอง เป็นตัวต้นๆ ของการปัจจยาการ คือจิตปรุงแต่ง ...ก็ไม่ต้องไปหา มันไม่มีอะไรอยู่จริง


เพราะฉะนั้น การที่มันจะเรียนรู้ความเป็นจริงของกายอย่างชัดเจนชัดแจ้ง ...มันจะต้องระงับจิตให้ได้ ด้วยอำนาจของสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่ง จิตเป็นกลาง

ถ้าไม่อย่างนั้น ถ้าไม่มีอำนาจของสมาธิจิตตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่ง จิตเป็นกลางนี่ ...จิตมันก็จะทำงาน ด้วยการปรุงแต่งภาษา ความหมาย บัญญัติ สมมุติ ความเห็น ความเชื่อ รูปลักษณ์ อดีต-อนาคต
…...
มันปรุงมันสร้างแล้วมันมาจับ มันมาหมาย...ทับถมบนความเป็นจริงคือกาย คือสิ่งที่เนื่องด้วยกายบ้าง คืออายตนะ ทางตา ทางหู ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส

เมื่อมันมาปรุงแต่งทับซ้อน ทับถมลงบนความเป็นจริง ...มันก็ไปทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าปิดบังความเป็นจริง หรือว่าทำให้ความเป็นจริงนั้นผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ด้วยความคิดความเห็นต่างๆ นานา

จึงบอกได้ว่า ถ้าไม่มีจิตที่มันตั้งมั่นเป็นกลาง เป็นหนึ่งแล้วนี่ ...มันจะไม่รู้จักความเป็นจริงแห่งกายเลย ว่ากายที่แท้จริงนั้นคืออะไร

มันจะไม่เกิดความชัดเจนถ่องแท้ในความเป็นจริงแห่งกาย แห่งขันธ์ แห่งโลกนี้เลย ...กับสิ่งที่เนื่องด้วยกายคือโลก อายตนะทั้ง ๖ ผัสสะทั้ง ๖ คือโลกภายนอกขันธ์
…..

ก็เพียรที่จะไม่ไปตามมัน ไม่ไปตามอำนาจแห่งมัน ไม่ไปทำตามอำนาจมัน ไม่ไปแต่งต่อเติมมัน ไม่ไปคาดหมายอะไรกับมัน ...ก็มามุ่งตรงลงที่กายปัจจุบันกายเดียว

จากเจตนาที่มันมุ่งตรงลงต่อที่เดียว ไม่ไปเกาะเกี่ยวในที่อื่น หรือไปหาที่อื่นมาเป็นที่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้ง ...จิตมันก็จะค่อยๆ สงบ ระงับจากความปรุงแต่งต่างๆ นานาไป 

รวมลงเป็นหนึ่ง รวมลงเป็นรู้เป็นเห็นอยู่จำเพาะกายขึ้นมา ...จิตที่มันรวมรู้เห็นลงจำเพาะกายที่เดียวขึ้นมาอย่างโดดเด่นเป็นสง่า เป็นกลางขึ้นอยู่ภายในนี่ ท่านเรียกว่าสัมมาสมาธิ หรือว่าจิตตั้งมั่นอยู่ภายใน

เมื่อจิตมันรู้จำเพาะกายอยู่ที่เดียว โดยไม่ส่ายแส่ไปที่อื่น ...ผลของการที่จิตมันรู้อยู่ที่เดียว ไม่ไปหาความรู้ภายนอก ...มันจึงมีความรู้สึกแก่ตัวของมันเองว่าไม่มีความรู้อะไรเลย

นี่คือไม่รู้อะไรกับเรื่องราวภายนอกต่างๆ นานา อย่างที่คนอื่นเขารู้ๆ กันเลย ตรงนี้ที่มันจะเกิดผล...ผลในสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธินี่

แล้วมันก็จะเป็นที่กังขาแก่ตัวมันเองว่า...การทำอย่างนี้ มันไม่มีความรู้อะไรเลย มันไม่มีความเข้าใจอะไรเกิดขึ้นมาเลย มันไม่มีแม้กระทั่งสภาวะใดเกิดขึ้นอยู่ตรงนั้น เหมือนนักปฏิบัติธรรมผู้อื่นสำนักอื่นเลย

จิตจึงบังเกิดความโลเลขึ้นในศีล จิตจึงเกิดความโลเลขึ้นในสมาธิที่เป็นสัมมา ...แล้วจิตก็จะเริ่มทำงานค้นหาวิธีการที่จะให้ได้มา มี เป็น...ซึ่งสภาวะที่หมายปรารถนา ด้วยอำนาจแห่งตัณหาแห่งเรา

เนี่ย กิเลสมันแทรกซึมมาได้ทุกขั้นตอนของศีลสมาธิปัญญา ...เพราะอะไร ...เพราะศีลสมาธิยังไม่เกิดปัญญาโดยสมบูรณ์ ยังไม่เกิดปัญญาโดยชัดเจน ยังไม่เข้าใจปัญญาที่แท้จริง

มันเข้าใจว่าปัญญาคือต้องรู้อะไร เป็นภาษา เป็นความหมาย เป็นคำพูด เป็นชิ้นเป็นอันจับต้องได้ 

พอมันไปถึงขั้นตอนที่ว่าจิตมันรวมเป็นหนึ่งแล้วมันไม่รู้อะไรเลย ไม่ปรุงอะไรเลย ไม่มีความคิดความเห็นอะไรเลยนี่ ...มันก็เลยเข้าใจว่าโง่ลง 

เพราะมันไม่รู้อะไร ไม่เกิดสภาวะวูบๆ วาบๆ ตื่นตาตื่นใจอะไร หรือเหมือนตำราเขาเขียนเขาบอก หรือเหมือนคำบอกเล่าของคนภาวนาที่เก่งๆ


พออยู่ในลักษณะที่รู้กายดูกาย แล้วมันไม่มีความปรากฏขึ้นของจิต อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นลักษณะอาการใดอาการหนึ่งเหมือนเขา ...ก็เกิดความโลเลเหลาะแหละในธรรม ในการปฏิบัติของตัวเอง

ทั้งๆ ที่ว่า...มันตรงต่อความหมายของศีล มันตรงต่อความหมายของสมาธิอยู่แล้ว ความหมายของศีลก็แปลว่า...ปกติกาย ความหมายของสมาธิก็แปลว่า...ระงับกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร

ถ้ามันเป็นสมาธิซึ่งระงับกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร ...แล้วมันจะเกิดอะไรในจิตขึ้นมาได้เล่า มันจะเกิดนิมิตอะไรบ้าบอขึ้นมาได้ มันจะเกิดสภาวะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งขึ้นมาได้

มันจะเกิดความรู้ความเห็นเป็นภาษา เป็นคำพูด เป็นความหมายอะไรขึ้นมาได้เล่า ...ก็มันระงับน่ะ ระงับจิตสังขารน่ะ ...มันก็ต้องอยู่ด้วยความเงียบงันน่ะสิ





คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก

คำสอน "พระอาจารย์"
(แผ่น 16)  แทร็ก  16/1






(หมายเหตุ :  ขอบพระคุณภาพดอกบัวจากคุณ Lil
http://2g.pantip.com/cafe/gallery/topic/G3894125/G3894125.html)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น