วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

โปร่ง





พระอาจารย์ –  ดูไปเรื่อยๆ เหอะ ...มันจะอ่านจนทะลุน่ะ 

ซึ่งขณะนี้มันก็ยังมองไม่ออกถึงไอ้ที่มันยังซ่อนอยู่ ยังมีอะไรที่เรายังไม่เห็นอีกเยอะ ที่เราจะต้องเรียนรู้ต่อไป ...มันจะต้องดูไปเรื่อยๆ 

จนพอมันแจ้งนี่ก็ปรุโปร่งหมดแหละ ...ไม่ว่ามันจะออกมารูปแบบไหน แง่มุมไหน ที่จะได้หลอกล่อเรา สังขารจิตหรือตัวมายาจิตนี่ มันมีสาไถยของมันอยู่ มีเล่ห์ของการปรุงแต่งของมัน 

เราจะต้องเรียนรู้ให้ฉลาดเท่าทันมันไปเรื่อยๆ แล้ว ...พอเห็นจนมันปรุโปร่งแล้ว มันจะหลอกเราไม่ได้ ...ถ้าหลอกเราไม่ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว มันจะหยุดการกระทำหมด 

หยุด...ในที่นี้หมายความว่าหยุดด้วยปัญญานะ ไม่ใช่หยุดด้วยการห้ามนะ ...มันหยุดโดยมันไม่เอาแล้วน่ะ ไม่ว่านิดนึง ขยับนึง ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้นะ ได้-ไม่ได้  เสียนะ-ดีนะ แย่นะ อะไรอย่างนี้ 

มันจะไม่ฟังเลย มันจะทิ้งหมดเลย แล้วอยู่ในเฉพาะรู้ของมันโดดๆ รู้เฉยๆ ไม่หวั่นไหว ...ตรงนั้นถึงเรียกว่าเป็นจิตหนึ่ง...จิตเอก...เอโก ธัมโม  เอกัง จิตตัง ไม่ส่ายแส่แล้ว จิตจะไม่หวั่นไหว 

ซึ่งไม่ได้เกิดจากการที่ควบคุมหรือบังคับ แต่มันจะไม่หวั่นไหวด้วยปัญญา ...คือมันแนบแน่น หรือว่าเข้าใจ หรือว่าแจ้ง หรือว่าไม่เชื่อความปรุงแต่งอีกแล้ว

แต่ลักษณะของจิตที่ยังไปๆ มาๆ นี่ มันจะเชื่อตามความปรุงแต่ง ...คือมันยังมีความเห็นที่น่าเชื่อถือ ที่จิตมันยังเชื่อของมันอยู่ อย่างนั้นน่ะ  

มันยังโง่ที่ไปเชื่ออารมณ์ ไปเชื่อความรู้สึก ไปเชื่อเวทนา ไปเชื่อว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้  มันยังมีความเชื่ออยู่ ...ก็เรียนรู้กับมัน บอกแล้วไง จิตมันคุ้นเคยในการเชื่ออย่างนั้นเชื่ออย่างนี้ 

มันรับไม่ได้ไง มันกลัวที่จะรับกับเวทนาที่คนเขาสร้างเวทนาให้เราไม่ได้ ...เราไปสร้างภาพหรือว่าสร้างภพขึ้นมา ไปสร้างภพแห่งความกลัวขึ้นมา แล้วมันกลัวที่จะไปเสวยในภพนั้น

ทุกอย่าง...ไม่ใช่ว่าสิ่งที่มาขัดขวาง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นปัจจัยที่มาสงเคราะห์จิตทั้งหมดนะ ทุกอย่างน่ะ...ไม่ได้ขัดขวาง ไม่ได้ปิดบัง หรือว่าไม่ได้มาถ่วงหน่วงเหนี่ยวรั้งอะไรเลย 

แต่ว่าทุกอย่างเป็นปัจจัยให้เราเห็นสิ่งที่อยู่ภายในของเรา แล้วก็ศึกษากับมัน ...ถ้าไม่มีผัสสะ ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอก เราจะไม่เห็นปัจจัยภายในจิตเลยว่ามีอะไรเคลือบแฝงอยู่ในจิต แล้วจะเอาออกไปได้ยังไง 

ถ้าจะแยกเอาความโกรธออกจากใจ มันต้องมีสิ่งที่ทำให้เราโกรธก่อน จึงจะเกิดอาการของมันออกมา ที่มันเจือปนอยู่ในใจน่ะ มันก็จะแสดงอาการออกมา ออกมารับกับอารมณ์นั้น ออกมามีเป็นกับอารมณ์นั้น

ถ้ารู้ทันนี่ก็หมายความว่ามันเริ่มเคลียร์แล้ว ...แต่ละครั้งที่รู้เท่าทันและก็เห็นมัน อย่างนี้ถือว่าเคลียร์แล้วในครั้งนึงๆ ถือว่าเริ่มแจ้ง เริ่มเบาบาง เริ่มทำความเจือปนนั้นออกไป 

แต่ถ้าไม่รู้แล้วเกิดหรือว่าตั้งใจจะเก็บมัน สร้างอารมณ์นี้ขึ้นมา นี่คือการเก็บเข้ามาหมักหมมอีกแล้ว ...หรือว่าไปตำหนิ ไปแก้ไม่ให้มันเกิด อย่างนี้ก็ไปดัก ไปเก็บ ...มันก็ตกคลั่กอยู่ข้างในนั่นแหละ
.....

เพราะงั้นถึงบอกว่า ถ้างงสับสนจับอะไรไม่ถูก...โยนลงไตรลักษณ์ให้หมด แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรเหนือไตรลักษณ์หรอก

ใครว่าดี ใครว่าต้องทำอย่างนั้นได้อย่างนี้ก่อน ใครว่าต้องเห็นอย่างนี้ก่อน ...โยนลงไตรลักษณ์ให้หมด สุดท้ายมันก็ดับไปหมดแหละ

ไม่เหลือหรอก ไม่มีอะไรสภาวะไหนคงอยู่หรอก ไม่มีความเห็นไหนคงอยู่หรอก ไม่มีความเชื่อไหนที่จะคงอยู่หรอก ...สุดท้ายมันจะดับหมดแหละ

เพราะนั้น อย่าไปผูกพันกับอะไร อย่าไปให้ค่าอะไร ...ไอ้ที่ให้ค่าไปแล้วก็พยายามรู้ แล้วก็ทำให้มันน้อยลง...ด้วยการวางไปเรื่อยๆ



(หมายเหตุ :  คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก
คำสอน "พระอาจารย์" แทร็ก 1/22


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น