วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อยู่กับโลก...อยู่กับธรรม




                                                 

 อยู่กับโลก...อยู่กับธรรม




ทั้งหมดที่จิตรับรู้น่ะ...มันเป็นธรรม 
ทั้งหมดเป็นธรรม  อะไรๆ ก็เป็นธรรม  
ตาเห็นรูปก็เป็นธรรม  หูได้ยินเสียง เสียงที่ปรากฏก็เป็นธรรม  
ใจที่คิด ความคิดก็เป็นธรรม  อารมณ์ก็เป็นธรรม  
ทุกอย่างเป็นธรรม ... ธรรมแปลว่า ความทรงอยู่

ไอ้ที่ไม่เป็นธรรมก็คือ...เราไปเดือดร้อนกับธรรม  
ดิ้นรน กระวนกระวาย กระสับกระส่าย กระเสือกกระสน ต่อต้าน รักษา หวงแหน 
พวกนี้เกินธรรม...เป็นความรู้ที่เกินธรรมที่ปรากฏ

ที่มันเดือดร้อน กระวนกระวาย กระสับกระส่ายทุกวันนี่ เพราะใจมันไม่มีปัญญา 
มันอยู่กับธรรมมันอยู่กับโลกนี่...แต่ไม่เห็นว่าเป็นธรรม ไม่ยอมรับความเป็นธรรม 
ด้วยใจที่เป็นธรรม หรือว่ายุติธรรม หรือว่าเป็นกลาง 

เพราะนั้นน่ะ...ต้องยุติกับธรรมนั้นๆ จึงจะเป็นกลาง 
ยุติคือหยุด ไม่ไปไม่มา ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ...ไม่เลือก 

อยู่กับมัน ... ต่อให้มันจะเป็นยังไงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ 
ไม่ใช่ให้ความอยากหรือความไม่อยากเป็นตัวกำหนดวิถี  ไม่งั้นน่ะ...ไม่จบ

เหมือนคนพเนจรไปในโลกน่ะ สองเท้าก้าวไป มันก็เดินไปได้ในโลกนี้
ไปไหนล่ะ ...  มันก็ไปวนไปวนมาในโลก มีทางเดินมันก็ไปได้นะในโลกนี้ 
มันก็ดูเหมือนแตกต่าง ...แต่ไปไหนมันก็กลับมาที่เก่าอ่ะ โลกนี่
มันวนอยู่ มันไม่ไปไหน  ไม่มีอะไรใหม่หรอก ...สุดท้ายก็กลับมาเหมือนเดิมนั่นแหละ

พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ใช่ทาง...ไม่ใช่ทางไปของพระอริยะ  
มันเป็นทางไปของสามภพ...มันก็วนอยู่นั่นแหละ 
ถ้ายังไม่ยอมหยุด...แล้วก็อยู่ในองค์มรรค

คืออยู่ด้วยความเป็นกลางกับทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏ  
ไม่แก้ ไม่หนี ไม่เข้าไปมีปัญหา ไม่เข้าไปมีเงื่อนไขกับอะไร 
ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าบุคคล หรือว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

อยู่ด้วยปัญญา ... ถ้าอยู่ด้วยปัญญาแล้วไม่ต้องอดทน  

ถ้าไม่มีปัญญาก็ต้องอยู่ด้วยความอดทนไปก่อน...ด้วยขันติ  
จนกว่ามันเข้าใจ ฉลาดขึ้น...ว่าโลกกับธรรมมันเป็นอย่างนี้ 
เราตายไปแล้ว ... โลกก็ยังเป็นอย่างนี้  
มันไม่เปลี่ยนไปไหนหรอก ... มันแก้อะไรไม่ได้ หนีไม่ได้ด้วย

คือเป็นโลก ...เป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นอยู่อย่างนี้  
มันเป็นมาตั้งแต่ตั้งโลก ตั้งฟ้า ตั้งแผ่นดินมานี่ 
ความเป็นสัตว์ความเป็นบุคคลปรากฏขึ้น...
กิเลสก็อาศัยครอบครองอยู่ในสัตว์บุคคลนั้นๆ 
ก็แสดงอาการไปต่างๆ นานา ...ด้วยความไม่รู้ 

มันก็มีการเบียดเบียนกัน กระทบกระทั่งกัน 
ด้วยคำพูดวาจา กริยาอาการภายนอก ... เป็นเรื่องปกติของโลก


เรามาเกิดในช่วงนี้ ยุคนี้ สมัยนี้ ในห้าพันปีนี้...จะต้องเจอโลกที่เป็นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าในยุคนี้สมัยนี้ ท่านเป็นปัญญาธิกะ 
ปัญญาธิกะ คือบำเพ็ญด้านปัญญาโดยตรง  

เพราะนั้นหลักธรรมที่สามารถจะอยู่ได้ในโลกยุคนี้สมัยนี้ 
คือต้องอยู่ด้วยปัญญา ด้วยความรอบรู้เข้าใจมัน...แล้วถอยห่างออกมา

ได้น้อยก็เอาน้อย ... ปัญญาน้อยก็ทำความเข้าใจกับมัน แล้วก็สะสมปัญญาไปเรื่อยๆ  
จนเห็นว่า...เหมือนกันหมดแหละ เป็นธรรมอันเดียวกัน 
เปลี่ยนที่หน้าตาตัวตน สถานที่ ... ดูเหมือนเปลี่ยน ดูเหมือนไม่ใช่ ดูเหมือนแตกต่าง  
แต่ด้วยปัญญาที่มันร้อยเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน...ก็จะเห็นเป็นธรรมอันเดียวกันหมด


พระพุทธเจ้าให้อุบายวิธีไว้แล้ว  
หลักการมี คือสติระลึกรู้ในทุกสิ่งที่ปรากฏ ... อะไรเกิดขึ้น...รู้  
ถ้าไม่รู้ล่ะมันเข้าไปแนบกัน เข้าไปเกลือกกลั้วกัน  เข้าไปมีในมัน...มันมามีอยู่ในเรา 

เพราะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วรู้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้  
นี่ ให้อยู่ตรงนั้น...ให้อยู่ที่รู้  ให้อยู่ด้วยรู้ ...ไม่ได้อยู่ด้วยความไม่รู้  
ถ้าอยู่ด้วยความไม่รู้ มันก็โลกเต็มๆ น่ะ กลายเป็นโลกของเราไปแล้ว 
เรากับโลกเป็นอันเดียวกัน ...ก็ทุกข์สิ

เพราะนั้นจะอยู่กับโลกยังไง ...ก็อยู่ด้วยความรู้ 
อยู่กับรู้...รู้อยู่กับโลก จนกว่าจะเห็นโลกนั้นเป็นธรรม 
ธรรมคืออะไร ... ธรรมไม่มีคำพูด ธรรมคือความเป็นจริง  
ความเป็นจริงคืออะไร ... ความเป็นจริงในโลกก็คือไตรลักษณ์นั่นแหละ

จึงอยู่กับไตรลักษณ์...ด้วยความที่ว่าเป็นธรรมเดียวกัน 
ไม่มีตัว ไม่มีตน  ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล  
มีแต่ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา  
คาดไม่ได้ เดาไม่ได้ หวังมันไม่ได้ พึ่งมันไม่ได้ 
อาศัยมันไม่ได้ เอามาเป็นที่ยึดที่ถือไม่ได้
ก็ต่างคนต่างอยู่ไป...มันแยกออกจากกัน





คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก
"คำสอน พระอาจารย์" (แผ่น 4) แทร็ก 4/3

http://ngankhamsorn4.blogspot.com/2014/07/43.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น