วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

พอดี...ที่ได้เสวย






พอดี...ที่ได้เสวย


พระอาจารย์ –  ถ้ามันไม่พอดี มันจะไม่เกิด  เพราะนั้น ถ้าอะไรมันเกิดขึ้นมานี่ มันพอดีแล้ว...มันจึงเกิดสิ่งนี้ อาการนี้ขึ้นมา 

แต่เวลามันเกิดแล้ว...ใจเราไม่พอดี  ใจไม่รับรู้ด้วยความเป็นกลาง แค่นั้นเอง

เพราะขณะที่มันเกิดน่ะเราไม่เท่าทันการปรุงแต่ง การให้ค่า ... แต่ตอนนี้เราไปเห็นผล  เพราะนั้นเมื่อเวลาเห็นผลเมื่อไหร่ปุ๊บ เรียกว่าเราต้องเสวยวิบากแล้ว เข้าใจมั้ย

เพราะนั้นเราไม่ทันเหตุให้เกิดทุกข์แล้ว ... สติยังไม่ทันเหตุที่เกิดทุกข์ตัวนี้  แต่เรามาเห็นทันตอนที่เป็นผลคือเสวยวิบาก  ...ก็คือจะต้องรับผลแล้ว 

แต่เราไม่เห็นว่าเหตุแรกที่เราเข้าไปจับคือตรงไหน ...ยังไม่เห็นเหตุแรกแห่งการเกิดอุปาทานทุกข์ หรือว่าความเข้าไปหลงน่ะ


โยม –  หลวงพ่อเจ้าคะ ในขณะที่สติปัญญาเราไม่กล้ามากนี่ เราจะแยกแยะในแต่ละการกระทำว่าเป็นเหตุปัจจัยที่ประชุมมาพร้อมแล้ว หรือว่าเป็นจากความอยากนี่  มันจะแยกความอยากกับเหตุปัจจัยที่แท้จริงอย่างไร    

พระอาจารย์ –  อย่าไปแยก...นี่มันแยกด้วยความคิดน่ะ ด้วยการพิจารณา แล้วมันจะสับสนน่ะ  อย่าไปคิด อย่าไปคิดเลย  

ดูอย่างเดียว...รู้กับเห็น ด้วยสติกับสัมปชัญญะ  สติคือรู้   สัมปชัญญะคือเห็นทั่ว ...เมื่อสติกับสัมปชัญญะพัฒนาแก่กล้าขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเรียกว่าญาณทัสนะ  ญาณก็แปลว่าหยั่งรู้ ทัสนะก็แปลว่าเห็นชอบ เข้าใจมั้ย ...ก็เกิดจากการรู้และเห็นอย่างเดียวเท่านั้น

เพราะนั้นญาณทัสสนะไม่ได้เกิดจากการคิดเลย ไม่มีคำว่าคิดหรือว่าวิจารเข้ามาเกี่ยวข้องเลยนะ หรือว่าพิจารณา ไม่ได้เกี่ยวเลยนะ  พวกนี้มันเป็นแค่อุบายสำหรับเด็กหรือว่าคนที่ยังลังเลสงสัย หรือว่ายังไม่เข้าใจ หรือว่าฟุ้งซ่านมากแค่นั้นเอง 

แต่ถ้าเราเข้าใจถึงหลักแล้ว เข้าใจถึงหลักของสติหรือว่าการกำหนดรู้ทุกข์ตามความเป็นจริงแล้วนี่ ไม่ต้องย้อนกลับไปพิจารณาอะไรทั้งสิ้นน่ะ ทำให้มันสั้นที่สุด ... คำว่าสั้นที่สุดคือ รู้ตรงไหน...ละตรงนั้น  หรือว่ามีเท่าไหร่ก็รู้เท่าที่มันมี เห็นเท่าที่เห็น 

มันเห็นตอนที่เป็นวิบาก...ก็รู้  พอแล้ว เข้าใจมั้ย ... ก็เรามาเห็นตอนที่ อ้อ รับผลแล้ว  เพราะนั้นก็ต้องรับผล เสวยวิบาก ... แล้วไม่ต้องทำอะไรกับวิบากนะ ก็แค่รู้เฉยๆ  ก็เห็นว่า...เออไม่ดี ...เออดี อย่างนี้ ก็รู้  

แล้วไม่ต้องทำอะไร  อย่าไปตำหนิมัน อย่าไปคิดแก้มัน  ...มันแก้ไม่ได้แล้ว มันแก้ไม่ได้แล้วนะ ...คือผลนี่ต้องรับน่ะ ต้องกิน คุณต้องกินให้หมดน่ะ ยังไงก็ต้องกิน

เหมือนเขาตำส้มมาให้คุณกินจานนึงนี่  เขาจะตำมารสชาติไม่เป็นสัปปะรดก็ตาม หรือตำมาให้อร่อยสุดก็ตาม ... คุณต้องกินให้หมด เลือกไม่ได้แล้ว เขาตำมาแล้ว ...จะเอากลับคืนมาเป็นมะละกอ แยกคืนมาเป็นปูเค็ม น้ำปลา น้ำตาล มันแยกคืนไม่ได้แล้วนะ เข้าใจมั้ย ...มันเสียของมาแล้ว มันปรุงมาแล้วน่ะ 

คุณต้องกิน  ...ถ้าโยนทิ้ง เดี๋ยวเขาก็ต้องทำให้คุณกินใหม่ เข้าใจมั้ย  ... ก็กิน แล้วก็กล้ำกลืนฝืนทน  อร่อยก็ต้องกิน ไม่อร่อยก็ต้องกิน  อย่างนี้ ...เป็นวิบาก การเสวยวิบาก ... แล้วครั้งต่อไป มันจะไวขึ้นเอง

ไม่ใช่ได้ส้มตำมา พอกินไปคำนึง รสชาติไม่เป็นสัปปะรดเลย ... แล้วมานั่งคิดว่า 'มันจะต้องใส่ปลาร้ากี่ตัววะ หรือมันใส่น้ำปลากี่ช้อน หรือมันใส่ปลาร้าก่อน หรือมันใส่ปลาร้าทีหลัง แล้วมันตำกี่ทีวะเนี่ย' 

ถามว่า คิดเอาแล้วมันจะรู้มั้ยเนี่ย หือ มันก็ได้แต่คาดเดาเอาน่ะ  มันไม่ได้รู้จริงว่าทำไมรสชาตินี้มันถึงไม่เป็นสัปปะรด  แล้วจะเชื่อได้มั้ย  มานั่งเพ่งคิดว่ามันจะต้องตำ 5 ที มันจะต้องใส่ปลาร้าทีหลัง  ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ใช่อย่างนี้ก็ได้

แต่ถ้าจะรู้จริงน่ะ ...ก็กินๆ เข้าไปให้หมดจาน  เมื่อสั่งใหม่...ตอนเขาจะตำใหม่ โยมต้องวิ่งเข้าไปดูในครัว ... อย่างนี้ ไม่ต้องถาม ไม่ต้องคิดพิจารณา  ...ก็แค่ดูเขาตำ ... โยมก็จะเห็นว่า เออ ขบวนการตำส้มจานนี้เขาทำอย่างไร รสชาติมันถึงสัปปะรังเค หรือว่าอร่อยอย่างนี้ เข้าใจมั้ย 

นี่คือด้วยการเห็นและรู้ ตามความเป็นจริง...ในขณะที่เขากำลังตำ กำลังหยิบของมาใส่ ...นี่เรียกว่าเห็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้ว เข้าใจมั้ย

ไอ้ตำส้มจานนี้คือวิบาก คือผล ...เพราะนั้นเมื่อมาทันตอนวิบาก เขาตำเสร็จมาแล้วนี่ ...ยังไงๆ ไม่มีทางเห็นเหตุหรอก


โยม –   ต้องรับวิบาก 

พระอาจารย์ –   ต้องรับลูกเดียว แล้วก็คอยสังเกตใหม่ ... ไม่ต้องกลัวไม่เห็น เข้าใจมั้ย มันซ้ำซากอยู่นั่นแหละ บอกให้  อย่าไปกลัวช้า อย่าไปกลัวไม่เข้าใจ อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ... อารมณ์ไหนความทุกข์ไหนที่ยังไม่แจ้ง มันจะซ้ำอยู่นั่นแหละ ให้กลับมาเรียนรู้ใหม่

ติดในเรื่องกาม เดี๋ยวมันก็ซ้ำอยู่ในเรื่องนั้นแหละ ให้มารู้ใหม่ อยู่อย่างนั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้กับมัน  ติดในเรื่องความโกรธ เดี๋ยวมันก็ต้องมีผัสสะมากระทบให้เราต้องโกรธ อยู่นั่นแหละ ขยันรู้เข้าไปเถอะ

แล้วจะเห็นว่า ...อ้อ จับขโมยได้แล้ว ..อ้อ ตอนนี้เอง ...อ้อ ตอนนี้เอง เราเข้าไปมีอุปาทานตอนนี้ เราเข้าไปหมายมั่นเอาตอนนี้ แค่นั้นเอง  

ด้วยการรู้กับเห็น เนืองๆ สม่ำเสมอ บ่อยๆ อย่าเบื่อ อย่าท้อถอย  จะเกิดกี่ครั้ง ร้อยครั้ง ก็ต้องรู้ร้อยครั้ง  รู้บ่อยๆ เดี๋ยวมันจะแจ้งขึ้นมาเอง ...



หมายเหตุ : คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก
คำสอน "พระอาจารย์" แผ่น 1 แทร็ก 1/8
อ่านคำสอนบทเต็มได้ที่






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น