วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แน่กาย...แน่ใจ






พระอาจารย์ - ก็รวมกายรวมศีลอยู่ในที่เดียวกัน แล้วก็ให้จิตมันมารวมรู้รวมเห็นอยู่กับสิ่งเดียวที่เดียวคือกาย ...เนี้ย คือพื้นฐานของการจับจิตให้อยู่ในมรรค จับจิตให้อยู่ในขันธ์ จับจิตให้อยู่ในปัจจุบันนั่นเอง

เพราะนั้นได้นิดได้หน่อย ได้มากได้น้อย...ทำ ฝึก อบรมจิต...โดยไม่ย่อท้อ โดยไม่เห็นผลแห่งความสุขทางโลกมาเป็นเครื่องล่อเครื่องลวง ...ก็รู้มันเข้าไป อยู่ตรงไหนก็รู้มันตรงนั้นแหละ

อยู่กับกาย ...มันมีกายอยู่ตรงไหน มันแสดงท่าทางยังไง ก็รู้กับลักษณะอาการนั้น  จะตึง จะหนัก จะแน่น หรือจะเป็นทรวดทรงรูปร่างที่มันวางมือวางตัวอย่างไร ท่าก้มท่าเงย รู้ทรวดทรงของมันไป

ทำงานในองค์มรรคนี่ ทำงานนี้งานเดียวนั่นแหละ..มากๆ ...แล้วไม่ต้องไปคิดอะไร ไม่ต้องไปคิดอะไรมากกว่าการที่จะรู้ตัว ...พอมันเริ่มจะคิด อยากจะคิด ก็ละซะบ้าง

บอกมัน...ไม่ต้องคิด ไม่เอา ...ห้ามมันซะบ้าง อย่าไปคิดเลย แล้วก็มารู้ดีกว่า มารู้กับกายแทนดีกว่า อย่าไปคิด ...นี่ ต้องคอยกำราบจิต ไม่ให้มันไพล่ไปตามกระแสความคุ้นเคยเดิมๆ

เช่น เห็นอะไร เอะอะอะไรที่เห็นแล้วก็คิด แล้วก็มีอารมณ์  ได้ยินอะไร ปึ้บ ยังไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัวเลยคิดแล้ว ...คือมันเป็นนิสัย อนุสัย ที่มันติดอยู่ในจิตในใจของทุกผู้ตัวคน

พอได้เริ่มคิดแล้วนะ...อารมณ์จะเกิดตาม มันจะมีอารมณ์เกิดตาม ...แต่ถ้าไม่คิด...ให้สังเกตดู อารมณ์ไม่ค่อยมีหรอก อารมณ์ไม่ค่อยมาก  

อาจจะมีความรู้สึกเป็นอารมณ์ขึ้นมาบ้าง แต่จะไม่มาก มีกรุ่นๆ ขุ่นๆ ...แต่อย่าคิดนะ อย่าปล่อยให้คิดนะ ...จากกรุ่นๆ ขุ่นๆ นี่ จะเป็นเตาอบเลยแหละ 

แล้วเดี๋ยวจะเป็นเตาหลอมละลายทุกสิ่งเลย ...อะไรอย่ามาเข้าใกล้วงรอบมือตีนนะ มันจะแผดเผาไปทั่ว กระจายรัศมีแห่งความเฮี้ยนเลย เจ้าแม่เจ้าพ่อแสดงเลย

เนี่ย ต้องรู้นะ สาเหตุแห่งอารมณ์ที่มันแรงขึ้นหรือว่ามากขึ้น...เพราะอะไร ...ก็เพราะคิดนั่นเอง การปรุงการคิดนั่นเอง ...เพราะนั้นตัดไฟแต่หัวลม พอมันอยากจะคิด..ไม่เอา

จะเป็นเรื่องคิดที่ไม่มีสาระก็ตาม จะเป็นเรื่องคิดที่ไม่ได้ก่อเกิดอารมณ์อะไรก็ตาม...ก็ไม่เอา ...คือต้องละ ต้องหัด ต้องฝึกที่จะไม่คิด ...แล้วต้องอยู่โดยการที่ไม่คิดให้เป็น อยู่กับเวลาที่ไม่มีความคิดให้เป็น

แล้วจะเห็นผล ...เออ มันจะได้เปรียบเทียบได้ว่า...เวลาอยู่กับกายกับขันธ์ที่ไม่มีความคิดอยู่ในนั้นน่ะ...ดีกว่า สบายกว่ามั้ย ทุกข์-สุขน้อยลงมั้ย ความยืดเยื้อเยิ่นเย้อในเรื่องราวน้อยลงมั้ย ...นี่ มันก็จะเปรียบเทียบได้

แต่ถ้าปล่อยให้มันคิดโดยที่ว่า..เออ ช่างหัวมันเถอะ จะคิดก็คิดไปเถอะ  แล้วก็ปล่อยไป ...เดี๋ยวๆ เดี๋ยวจะร้อนๆ แล้ว...เวลาความคิดมันไปวน แล้วก็ไปลงอยู่ตรงจุดที่มันติดข้อง 

คือเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง บุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างนี้ ...เดี๋ยวไม่จบ  พอไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับมันเลยนะ คิดไปเรื่อยๆ ...เดี๋ยวก็มาลงที่ไอ้นั่นที่มันข้อง มันจะวนไปตรงนั้น

ทุกข์เก่าก็กำเริบขึ้นมา ...คือทุกข์เก่าก็ยังไม่จางนะ มันเก็บไว้ในสัญญา ...ก็เลยพอดีได้เชื้อไฟ เชื้อถ่านหิน น้ำมันลงไป ...มันก็ลุกฮือขึ้น...ลุกฮือขึ้น

พอมันลุกฮือขึ้นขนาดนั้น บอกให้เลย...ศีลสมาธิปัญญาเอาไม่อยู่...ในระดับพวกเรา ...ก็ไม่เอาแล้ว รู้ตัวรู้เตออะไร จะด่ากับมัน จะหาเรื่องกับมันลูกเดียวแล้ว ...มันจะแรงมากเลย

เพราะนั้น ตัดไฟแต่ต้นลม ตัดใจ ตั้งใจอยู่กับเนื้อกับตัวไป ...ไม่เอาแล้ว ช่างหัวมัน ยกประโยชน์ให้จำเลยซะ อย่าไปนั่นไปนี่...ไม่เอา ...นี่ ฝึกอยู่อย่างนี้ ให้มันรู้เงียบๆ เฉยๆ กับเนื้อกับตัวไว้ ไม่ว่าจะที่ไหน
.....

ยังไงก็ต้องฝึกอยู่ในกรอบนี้ วิถีนี้ ...อย่าปล่อย อย่าทิ้งกาย...ทั้งในกายหยาบ ทั้งในกายย่อย ...เรียกว่า ถ้าได้ใหญ่..เอาใหญ่ ได้ย่อย..เอาย่อยไว้

คือต้องมีกายต้องมีศีลรั้งไว้...รั้งจิตไว้ เป็นตัวกำกับจิตไว้  ไม่ให้จิตมันเผลอเพลินออกไปไกล...จากศีล จากกองกาย จากการรวมตัวกันของธาตุกายของตัวเอง

เหล่านี้ มันจึงจะคุ้มครองจิตให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่เป็นทุกข์จนเกินไป ...แล้วมันก็จะก่อให้เกิดปัญญาต่อไปในภายภาคหน้าจนถึงความแจ้งในทุกส่วนของกองขันธ์

ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติอย่างนี้ ผลมันก็ไม่นานหรอก มันก็เกิดผล...ไม่ว่าทุกข์อะไรเกิดขึ้นก็สามารถจัดการได้ด้วยความสงบ ด้วยความเข้าใจ

ทุกข์ใหญ่ ทุกข์เล็ก ทุกข์จากคนอื่น ทุกข์จากตัวเอง...แก้ได้หมด ...แก้ได้หมด เหนือได้หมด ...นี่ มีชีวิตอยู่เหนือทุกข์...ก็สบาย ไม่อึดอัดคับข้องในที่ใดทั้งปวง

.................................


คัดลอกโดยตัดทอนมาจาก
คำสอน "พระอาจารย์"
แทร็ก 15/22  ช่วง 2





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น