วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

"ตำตา...ตำใจ"




กล้าจริงก็รู้ตัวไป อยู่กับตัวอยู่กับกาย นี่ล่ะ ...ลองดู  

แล้วจะรู้ว่า...การปฏิบัติที่เราเคยตั้งค่าของการปฏิบัติเอาไว้ว่าผลลัพธ์คืออะไร  จะเข้าใจเองว่าไอ้ที่ตั้งค่าไว้น่ะผิดหมดเลย...ด้วยความเห็นความเชื่อนี่ ผิดหมดเลย

ถ้าทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่มาสอนคนหรอก เพราะท่านเห็นว่าคนน่ะสอนง่ายที่สุดแล้ว มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ ไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ 

และนี่เป็นที่ที่ธรรมทั้งปวง ทั้งสี่เหล่านี่ ทั้งสี่ภูมิอริยธรรมทั้งหมด...จะงอกงามได้ง่ายที่สุดในมนุสส เพราะนั้นอย่าประเมินตัวเองต่ำ

แล้วจะเข้าใจเองว่า...การละสักกาย ไม่มีวิธีการละ ไม่มีวิธีอุบายใดเลย  มันละเข้าไปในตัวของมันเอง บอกให้เลย ...นี่เป็นการทำที่โง่ที่สุด แต่ชื่อเรียกว่าปัญญาวิมุติ

เห็นมั้ย ชื่อกับการกระทำนี่คนละเรื่องกันเลย  โง่อย่างเดียว ไม่เอาความรู้ใดมาเลย 

นั่นน่ะเขาเรียกว่ามันจะลบบัญญัติสมมุติ  แล้วก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ...เพราะตามความเป็นจริงนี่ เขาไม่ได้เป็นอะไร

ถ้าดูเฉยๆ ดูด้วยความสงบนะ ทุกอย่างเป็นปรมัตถ์ เป็นความจริงตามความเป็นจริง ...เห็นมั้ย มีความรู้อะไรมั้ยในนั้น ต้องไปรู้อะไรมั้ยในนั้น ต้องไปบอกมั้ยว่ามันคืออะไรในนั้น ...นั่นน่ะตามความเป็นจริง

เพราะนั้นรู้จริงน่ะ...เงียบ ไม่มีปาก ไม่มีเสียงเลย ...นิ่งอยู่ภายในนั้น รู้อยู่ภายใน ก็เห็นความเป็นจริง ...มันจะซาบซึ้งอยู่กับความไม่มีไม่เป็นในความหมาย

นั่นแหละ มันเข้าไปเห็นกายเป็นอนัตตา เห็นกาย ในส่วนที่ไม่มีตัวตน เห็นกายในส่วนที่ไม่มีโดยสมมุติบัญญัติ เห็นกายในส่วนที่มันเป็นแค่อาการถูกปรุงแต่งโดยเหตุปัจจัย ไม่ได้ตั้งด้วยใคร เพื่อใคร


ถ้าเห็นตามความเป็นจริงของกาย...ก็อันเดียวกันหมด ...นี่ หากันแทบตาย ตัวเองไม่เห็น ...อยู่ตรงนี้ อยู่ต่อหน้านี่ สิงสู่อยู่กับมันนี่ตั้งแต่เกิด ไม่เคยแยบคายดูเลย

เมื่อมีกายตัวเดียว กายคนอื่นก็ไม่มี นี่...เอาจนกายเหลือแต่กายเงียบที่สุด จนใจเงียบไปพร้อมกับกาย เหลือแค่รู้กับกาย ...เห็นกาย จนรู้...แต่ไม่รู้ว่ากายๆ ไม่เห็นว่าเป็นกาย

นั่นแหละ ถึงจะเข้าใจ หากายไม่เจอแล้ว ...ก็เห็นอยู่ตำตา ก็รู้อยู่ ...แต่หากายไม่เจอ เจอแต่อะไรก็ไม่รู้ อะไรงั้นๆ น่ะ ใครจะว่ากายก็ว่าไป

เหมือนกับพระอัญญาโกณฑัญญะ ที่ท่านพูดว่า...สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ...นี่ ท่านเห็นว่าเป็นแค่สิ่งหนึ่ง

รูปนามเป็นแค่สิ่งหนึ่ง อาการของรูปนามก็เป็นแค่สิ่งหนึ่ง อารมณ์ของรูปนาม เวทนาของรูปนามก็เป็นแค่สิ่งหนึ่ง ...ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งนั้น

ท่านมองข้ามบัญญัติ ท่านมองข้ามสมมุติไป ท่านมองทะลุเข้าไปถึงแค่สิ่งหนึ่ง อาการหนึ่ง ...ถึงเรียกว่า ยังกิญจิ สมุทยะธัมมัง สัพพันตัง... สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

ท่านมองเห็นความจริงแค่นั้นเอง ...ไม่ได้ลึกซึ้ง ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรอย่างที่พวกเราพยายามที่จะให้เห็นกายเป็นอันนั้นกายเป็นอันนี้ แล้วถึงจะวางได้

แล้วจากนี้มันจึงจะเห็นเป็นอาการเดียวกัน ทั้งโลก ทั้งจักรวาล ทั้งอนันตาจักรวาล ทั้งสามภพ ...นั่น ในอนันตาจักรวาล มันยังมีอีกสองภพซ้อนอยู่ในอนันตาจักรวาล

ท่านก็เห็นเป็นเพียงแค่อาการหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้ประหลาดมหัศจรรย์ดีร้ายถูกผิดอะไร  ประเสริฐประณีตกว่า ต่ำกว่า สูงกว่า เหนือกว่า เสมอกัน...ไม่มี 

ท่านเห็นมีแค่อาการหนึ่ง...เท่านั้นเอง



คัดลอกโดยตัดทอนและเรียบเรียง
จาก...คำสอน "พระอาจารย์"
(แผ่น 4) แทร็ก 4/30





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น