วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ยอม...? (1)






พระอาจารย์ –  ให้รู้เฉยๆ ด้วยความอดทน ...เพราะว่ามันจะบีบคั้น ภาวะพวกนี้...อารมณ์ ...อุปาทานนี่ มันจะสร้างความบีบคั้นให้เกิดมโนกรรม วจีกรรมและกายกรรม

เพราะนั้นพอมันบีบคั้น...ด้วยความไม่รู้ปุ๊บนี่ ...ด้วยอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เป็นเวทนาบีบคั้นจิตเมื่อไหร่ปั๊บ มันจะสร้างเป็นสังขารา

คือปรุงออกมาเป็นความคิด สร้างว่าจะทำยังไงดีกับมัน จะทำยังงั้นยังงี้ ...มันก็จะพากายวาจาให้ถอยออก หนีออกจากอาการ หรือแก้อาการ เนี่ย

แต่ถ้ารู้ทันแล้วมันจะดับ ดับความคิดความปรุง อยู่แค่อารมณ์ที่ปรากฏ หรือเวทนาที่ปรากฏด้วยความไม่รู้ในปัจจุบัน ...แล้วก็จะเห็นว่าเดี๋ยวมันก็ดับ 

หรือมันไม่ดับก็ช่าง มันจะดับเมื่อไหร่ก็ช่าง ...แต่ให้รู้ไว้อย่างนี้ ด้วยความอดทนอยู่กับมัน...โดยไม่แก้ ไม่หนี ...ไม่ปรุง ไม่แก้ ไม่หาเหตุไม่หาผลอะไรกับมัน 

นี่ เขาเรียกว่ารู้เฉยๆ รู้โง่ๆ รู้ตรงๆ กับอาการที่ปรากฏตามความเป็นจริง

เพราะนั้นอะไรที่ปรากฏนี่ เราไม่เรียกว่ากิเลส เราไม่เรียกว่าถูก เราไม่เรียกว่าผิด ...แต่มันปรากฏจริง อย่างนี้ ถือว่าจริง

เราไม่ได้บอกว่าถูกเลยนะ เราไม่ได้บอกด้วยว่าผิดนะ ห้ามนะ ไม่ให้เกิด ไม่ได้นะ...ไม่ใช่ ...มันเกิดแล้วจะทำยังไง นี่ของจริง

เพราะนั้นว่า ปัญญาแปลว่าต้องรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ปรากฏ แล้วก็เห็นไปถึงที่สุดว่า ความเป็นจริงนั้นคืออะไร จนถึงที่สุดของความเป็นจริงก็จะเห็นว่า...มันดับไปเป็นธรรมดา

เห็นมั้ย ไตรลักษณ์ ...จิตก็เข้าไปเห็นไตรลักษณ์ในอาการทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏ ...ไม่ว่าอะไรเกิดมา...ไม่มีอะไรไม่ดับ 

แต่ "เรา" มันทนอยู่ไม่ได้...จนถึงกว่ามันจะดับไปเองน่ะ ...นี่ ตรงนี้ มันก็ส่ายแส่ 

พอไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ...มันก็แส่ไปหาอดีต-อนาคตที่มันจะสร้างอะไรมาลบล้างอารมณ์ปัจจุบัน เวทนาปัจจุบันที่มันไม่พอใจหรือพอใจ

เพราะนั้นการปฏิบัติก็จะวนเวียนอยู่แค่เนี้ย ...ทำไงถึงจะยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบัน 

นิดๆ หน่อยๆ  เล็กๆ น้อยๆ นี่อย่ามองข้ามนะ ...ต้องสังเกต ให้แยบคายในทุกอาการที่ปรากฏ

เราไม่เคยบอกว่าถูก เราไม่เคยบอกว่าห้ามนะ ห้ามมีอารมณ์นะ ห้ามมีความรู้สึกอย่างนี้นะ...ไม่มีนะ ...มันปรากฏอย่างนี้ คือจริงหมด ...เพราะมันแสดงออกมาจากความเป็นจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ

ซึ่งอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ นั่นน่ะ คือสิ่งที่เราจะต้องเอาออก ...ไม่ใช่ปกปิด ปิดบัง หรือห้าม หรือว่ากลัว ไม่ให้มันแสดงธาตุแท้ของมันออกมา
.....

เพราะนั้นปัญญานี่กลัวไม่เห็นตามความเป็นจริงอย่างเดียว ...ไม่เคยปิดบัง ไม่เคยปกปิด  ...ไม่กลัวกิเลสเลย ไม่เป็นศัตรูกับกิเลสด้วย และไม่คิดด้วยว่ามันเป็นกิเลส


โยม –  มันเป็นธรรมชาติ  

พระอาจารย์ –  ธรรมชาตินึงที่ปรากฏ เป็นอาการหนึ่งที่ปรากฏ เป็นสภาวะหนึ่งที่ปรากฏ 


โยม –  ก็เหมือนทุกสิ่ง  

พระอาจารย์ –  เหมือนกันน่ะ เหมือนฝนตกแดดออกน่ะ

ถ้าจะพูดโดยภาษาก็ว่ากิเลสเกิดแล้วก็ได้ แล้วแต่เราจะเรียกโดยสมมุติและบัญญัติ ...แต่จริงๆ ก็คือสภาวธรรมหนึ่ง เป็นสภาวธรรมหนึ่ง เป็นลักษณะอาการหนึ่ง 

เพราะนั้น ...เห็นมั้ย ถ้าเปิดใจให้กว้างนะ มันจะเห็นว่าไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างกันหรอก

ไม่ว่าเรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องโน้น หรืออาการอย่างนั้น อาการที่มันประหลาดมหัศจรรย์ หรืออาการที่มันดีเลิศวิจิตรอะไรก็ตาม ...มันก็คือลักษณะอาการหนึ่งเหมือนกัน

ถ้ามองแค่ลักษณะ มันเป็นแค่ลักษณะหนึ่งเหมือนกัน ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของไตรลักษณ์ หรือว่ากฎเหล็กของไตรลักษณ์ 

มันก็ไม่เห็นจะหนีออกจากไตรลักษณ์ตรงไหนได้เลย ไม่มีหลุดรอดพ้นจากไตรลักษณ์ได้ ...นี่ มันเห็นไตรลักษณ์จนยอมรับน่ะใจดวงนี้ จนไม่มีทางหนีน่ะ จนรู้เลยว่าไม่มีทางหนีออกจากไตรลักษณ์ได้เลย




หมายเหตุ  :  มีต่อในบท "ยอม" (2)






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น